FullReview : Redmi Note 11 Pro 5G ก้าวสู่ความท้าทายที่เหนือกว่าเดิม !!! ด้วยหน้าจอ Amoled 120 Hz , ชิปเซ็ต Snapdragon 695 , กล้องหลังระดับโปร 108 ล้านพิกเซล , ลำโพงคู่ Stereo และ แบตเตอรี่ 5000 mAh + 67W Turbo Charge ในราคาเพียง 10,990 บาท !!!!
Redmi แบรนด์ย่อยภายใต้ Xiaomi ได้เปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ Redmi Note 11 Pro Series ที่ก้าวสู่ความท้าทายอีกขั้น กับสเปคระดับโปรในราคาที่สั่นสะเทือนตลาด นำทีมโดย Redmi Note 11 Pro 5G ซึ่งจะมีสเปคอย่างไร เราลองไปดูกันครับ
สเปค Redmi Note 11 Pro 5G
หน้าจอ Dot Display ชนิด Amoled ขนาด 6.67 นิ้ว , ความละเอียด Full HD+ พร้อมอัตรา Refresh Rate 120 Hz, Touch Sampling Rate 360 Hz , ความสว่างสูงสุด 1,200 nits, ช่วงสี DCI-P3 100% ครอบทับด้วยกระจกกันรอย Corning Gorilla Glass 5
CPU : Qualcomm Snapdragon 695
GPU : Adreno 619
RAM : 8 GB ชนิด LPDDR4x
รองรับ Memory Extension 3 GB
ROM : 128 GB ชนิด UFS 2.2
รองรับ Micro SD Card สูงสุด 1 TB
รองรับ 2 Sim Cards
รองรับ 5G Dual Mode
กล้องหลัง 3 ตัว ประกอบด้วย
กล้องหลังหลัก 108 ล้านพิกเซล , f/1.9 , เซนเซอร์ Samsung ISOCELL HM2
เลนส์ Ultra Wide 8 ล้านพิกเซล มุมกว้าง 118 องศา
เลนส์ Macro 2 ล้านพิกเซล , f/2.4
กล้องหน้าความละเอียด 16 ล้านพิกเซล , f/2.4
รองรับระบบสแกนใบหน้า
รองรับระบบสแกนนิ้วมือที่ปุ่ม Power
รองรับพอร์ต IR Blaster
รองรับลำโพงคู่แบบ Stereo + Hi - Res Audio
รองรับช่องหูฟัง 3.5 mm.
รองรับการกันน้ำกันฝุ่นมาตราฐาน IP53
รองรับ Z - Axis Linear Motor
รองรับ Wi-Fi 802.11 ac (2.4GHz + 5GHz)
รองรับ Bluetooth 5.2 / NFC
พอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type-C
แบตเตอรี่ความจุ : 5000 mAh + 67W Turbo Charging
ระบบปฎิบัติการ : Android 11 + MIUI 13
สี : Polar White, Graphite Gray และ Atlantic Blue
Unboxing
บรรจุภัณฑ์ของ Redmi Note 11 Pro 5G ยังคงเอกลักษณ์ด้วยพื้นสีขาว เนื้อกระดาษแบบด้านสะอาดตา
ภายในกล่องประกอบด้วย
- ตัวเครื่อง Redmi Note 11 Pro 5G × 1 เครื่อง
- เคสใสแบบ TPU × 1 ชิ้น
- สาย USB Type C × 1 เส้น
- 67W Turbo Charge × 1 ตัว
- เข็มจิ้มถาดซิมการ์ด × 1 ชิ้น
- เอกสารและคู่มือต่างๆ × 1 ชุด
Display & Design
Redmi Note 11 Pro 5G มาพร้อมกับหน้าจอแบบ DotDisplay ชนิด AMOLED ขนาด 6.67 นิ้ว , ความละเอียด Full HD+ , ครอบทับด้วยกระจกกันรอย Gorilla Glass 5 มีอัตราการรีเฟรชหน้าจอ 120 Hz ซึ่งพัฒนาขึ้นจากรุ่นเล็กอย่าง Redmi Note 11 ที่มีอัตรา Refresh Rate เพียง 90 Hz ทำให้ใช้งานได้ลื่นไหลยิ่งกว่าเดิม
และหน้าจอค่อนข้างสวยมากครับ ความสว่างสูงสุดถึง 1,200 nits การแสดงผลในสภาวะกลางแจ้งคมชัด จัดว่าดีเยี่ยม สีสันของหน้าจอก็สดใสแบบเป็นธรรมชาติ โดยส่วนตัวชอบโทนสีจอแบบนี้มากๆครับ
ที่สำคัญคือหน้าจอ DotDisplay นั้นมีรูเจาะตรงกลางที่ขนาดเล็กมาก ซึ่งน่าจะเป็นค่ายที่ทำได้เล็กสุดแล้ว จึงทำให้รบกวนสายตาเราน้อยมากครับ
รองรับระบบ Always On Display ที่ให้การปรับแต่งได้ค่อนข้างอิสระ , Dark Mode และ Reading Mode 3.0
ด้านหลังมาพร้อมกับกล้อง 3 ตัว (Triple Rear Camera) วางเรียงในโมดูลทรงสี่เหลี่ยมแบบ Dual Layer เล่นระดับระหว่างโมดูลกล้องหลักและกล้องรอง ทำให้มีความสวยงามและดูพรี่เมี่ยมมากยิ่งขึ้น พร้อมฝาหลังแบบเคลือบผิวแบบด้าน (Matte) ในสี Graphite Gray
ขอบบนเป็นที่อยู่ของช่องลำโพงสนทนา , ลำโพง Speaker , พอร์ต IR Blaster และ ไมโครโฟนตัดเสียงรบกวน อีกทั้งยังมีช่องหูฟัง 3.5 มม. ซึ่งถือว่าหายากในยุคนี้แล้ว แต่ Redmi ยังคงใส่มาให้ แบบนี้ถูกใจคอเพลงที่ชอบใช้หูฟังมีสายเทพๆแน่นอนครับ
ขอบด้านขวามี ปุ่มเพิ่ม/ลด ระดับเสียง และ ปุ่ม Power ซึ่งสามารถใช้งานเป็นเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือ ได้ อีกทั้งยังมีการออกแบบทรงปุ่มใหม่ ให้ปุ่มมีความเล็กเพรียวสอดรับกับตัวเครื่องที่บางเพียง 8.12 มม. แต่ยังคงสแกนได้รวดเร็วและแม่นยำเช่นเคย
ขอบล่างมี ถาดใส่ซิมการ์ดแบบ Hybrid Slot ที่สามารถเลือกใส่ Micro SD Card ในช่องซิม 2 ได้ , ไมโครโฟนสนทนา , พอร์ต USB Type - C และ ลำโพง Speaker ตามลำดับ
โดยภาพรวมแล้วการออกแบบและวัสดุประกอบตัวเครื่องของ Redmi Note 11 Pro 5G นั้นยังคงรักษามาตราฐานไว้เป็นอย่างดี ด้วยงานประกอบที่แน่นหนา แข็งแรง ถือจับกระชับมือ รวมไปถึงหน้าจอ Amoled ที่มีความสวยงามและลื่นไหลมากขึ้นด้วย
Performance
Redmi Note 11 Pro 5G มาพร้อมกับชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon 695 แบบ Octa Core ที่ถือว่าเป็นชิปเซ็ตระดับกลางรุ่นใหม่ล่าสุด ณ เวลานี้ ใช้กระบวนการผลิตขนาด 6 นาโนเมตร โดยมีการปรับปรุงประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น 15% และรันกราฟิกเร็วขึ้น 30% เมื่อเทียบกับ Snapdragon 690
ภายในประกอบด้วย ซีพียูแบบ Octa Core ประกอบด้วย 2x 2.2 GHz – Kryo 660 Gold (Cortex-A78) และ 6x 1.7 GHz – Kryo 660 Silver (Cortex-A55) ส่วน GPU ใช้ Adreno 619 และ มีหน่วยประมวลผล AI เป็น Hexagon 686
โดยรุ่นที่นำมาทดสอบนี้เป็นรุ่น RAM 8 GB/ROM 128 GB พร้อมรองรับ Memory Extension 3 GB (นำพื้นที่ ROM มาเพิ่ม RAM) และรองรับ Micro SD Card สูงสุด 1 TB
ทำงานภายใต้ระบบปฎิบัติการ Android 11 และ MIUI 13 ใหม่ล่าสุด ซึ่งจะมีเทคโนโลยีที่ทำให้ระบบเรียนรู้และจัดสรรค์ทรัพยากรต่างๆ เพื่อให้เครื่องสามารถทำงานได้เร็วและมีประสิทธิภาพสูงสุดอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งยังมีลูกเล่นในการปรับแต่งใหม่ๆ เช่น Control Center , Smart Devices และการปรับแต่งอีกมากมาย
MIUI 13 มุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงฟังก์ชั่นหลัก โดยมีความลื่นไหลโดยรวมเพิ่มขึ้น 52% บริษัทได้ปรับปรุง Focused Algorithms, Atomized Memory และ Liquid Storage ที่พัฒนาขึ้นเอง และระบบใหม่นี้เน้นที่การปรับความสามารถในการประมวลผลสำหรับแอปหลักระหว่างการใช้งานที่หนักหน่วง
MIUI 13 ป้องกันและลดการเสื่อมสภาพของความสามารถในการอ่าน-เขียนผ่าน Atomized Memory และ Liquid Storage technology 5% ในช่วง 36 เดือน ซึ่งช่วยยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์ได้นานยิ่งขึ้น
ผลทดสอบประสิทธิภาพด้วยแอพพลิเคชั่น GeekBence 5.0 ได้ผลทดสอบ Single Core ได้ 690 คะแนน ส่วน Multi Core ได้ 2050 คะแนน
ซึ่งตัวเลขรุ่นอาจทำให้เราสับสน แต่จริงๆแล้วเมื่อวัดประสิทธิภาพ Snapdragon 695 สามารถทำได้ดีกว่า Snapdragon 765G และ ใกล้เคียงกับ Snapdragon 845 เลยทีเดียว
Gaming
มี Game Turbo 4.0 สำหรับช่วยจัดระบบระเบียบทรัพยากรภายในตัวเครื่องให้มีประสิทธิภาพดีที่สุดยามคุณอยู่ในโลกของเกมส์ และช่วยปิดการแจ้งเตือนต่างๆที่ไม่สำคัญ เพื่อป้องกันการรบกวน รวมไปถึงการเปิดแอปแบบ Floating Windows เพื่อทำงานและเล่นเกมไปพร้อมๆกันได้
โดยทดสอบด้วยเกมส์ PUBG Mobile สามารถเปิดกราฟิคได้สูงสุดระดับ HD เปิด Frame rate ที่ระดับ High ได้ โดยภาพรวมสามารถเล่นได้ค่อนข้างลื่นไหล ไม่มีปัญหาครับ
ระบบรักษาความปลอดภัย
มาพร้อมระบบสแกนลายนิ้วมือ ที่ยังคงมีประสิทธิภาพให้การทำงานได้รวดเร็วมาก และสามารถใช้ระบบสแกนใบหน้าแบบ AI Face Unlock ได้เช่นเคย
Camera
สำหรับระบบกล้องหลัง 3 ตัว ประกอบด้วย กล้องตัวหลัก 108 ล้านพิกเซล (f/1.9) เซนเซอร์ Samsung HM2 , กล้อง Ultra Wide 8 ล้านพิกเซล ให้มุมกว้าง 118 องศา รวมถึง กล้อง Macro 2 ล้านพิกเซล
กล้องหลักระดับโปร มีความคมชัดสูง ด้วยเซ็นเซอร์ขนาดใหญ่ถึง 1/1.52 นิ้ว ทำให้รับแสงภายนอกได้ดี ปรับจูนสีได้ดีขึ้นกว่ารุ่นก่อน ทำให้เฉดสีสดใส โดยที่โหมด auto จะใช้หลักการรวมพิกเซลแบบ 9 in 1 Pixel binning ทำให้ได้ภาพความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ประมวลผลได้ไวขึ้น แต่ก็มีโหมด 108 ล้านพิกเซล แยกมาให้สำหรับการถ่ายที่ความละเอียดสูงมาก
ภาพถ่ายมุมกว้างแบบ Ultra Wide มีประสิทธิภาพค่อนข้างดี มีมุมมองที่กว้างพอเก็บองค์ประกอบได้ครบถ้วน มีการแก้ไข Distort ของภาพให้ ซึ่งทำออกมาได้ยอดเยี่ยม
โหมด Macro ให้รายละเอียดที่ดีครบถ้วน ในระยะโฟกัส 4 ซม.
ภาพถ่ายโหมดบุคคล สามารถละลายหลังได้อย่างเป็นธรรมชาติ ปรับค่า f ได้ , มีการตัดขอบได้เนียนตา และฉากหลังยังคงมีรายละเอียดครบถ้วน ไม่ฟุ้งเบลอมากเกินไป ซึ่งโดยส่วนตัว ยังคงยกให้ Xiaomi เป็นแบรนด์ที่ทำโหมด Portrait ได้ดีที่สุดอันดับต้นๆของวงการเลย
การถ่ายวิดีโอรองรับที่ความละเอียดสูงสุด 1080p @ 30fps
ส่วนกล้องหน้า มีความละเอียด 16 ล้านพิกเซล ที่มีความสามารถในการถ่าย 1080p @ 30fps เช่นกัน พร้อมระบบ AI Beauty และ HDR สำหรับปรับแต่งโทนภาพให้สวยงาม รวมถึงฟิลเตอร์ต่างๆที่มีให้เลือกเพียบ
ตัวอย่างภาพถ่าย
กล้องหลัก
โหมด Ultra Wide
กล้อง Portrait
กล้อง Macro
กล้องหน้า
ระบบเสียง
Redmi Note 11 Pro 5G ใส่ลำโพงคู่ Stereo มาให้ พร้อมระบบเสียง Dolby Atmos โดยมีมิติเสียงที่ค่อนข้างดี มีความดังชัดเจน เปิดจนสุดแล้วเสียงไม่แตก มีโทนเสียงในย่าน Bass บางๆ แต่ออกไปทางเสียงกลางเยอะ ฟังเเล้วค่อนข้างละมุนครับ
แบตเตอรี่
แบตเตอรี่ขนาด 5000 mAh พร้อมการสนับสนุนการชาร์จเร็ว 67W แบบ Turbo Charge ซึ่งสามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้เต็มในเวลาไม่ถึง 1 ชั่วโมง ที่สำคัญคือหัวชาร์จ 67W แถมมาให้ในกล่องไม่ต้องไปหาซื้อแยกอีกด้วย
ราคาจำหน่าย
Redmi Note 11 Pro 5G (รุ่น 8GB + 128GB) ราคา 10,990 บาท
พร้อมวางจำหน่ายในวันที่ 5 มีนาคม นี้ พิเศษสุดสำหรับผู้ที่พรีออเดอร์ตั้งแต่วันนี้ – วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565 จะได้รับฟรี Redmi Note 11 Pro Series Boxset มูลค่า 1,690 บาท
และอีกความสุดพิเศษสำหรับ 1,000 คนแรกเท่านั้น ที่จะได้รับ Redmi Watch 2 Lite มูลค่า 1,690 บาท เมื่อทำตามเงื่อนไขดังนี้
- ลงทะเบียนรับสิทธิ์พิเศษบนเว็บไซต์ (ในเฟซบุ๊ค Xiaomi Thailand)
- Pre-Order กับร้านค้าที่ร่วมรายการ
- เป็น 1,000 คนแรก ที่มารับสินค้า Per-Order ที่งาน Event พิเศษ ณ ห้าง Siam Discovery ในวันที่ 5 มีนาคม 2565
สรุป
Redmi Note 11 Pro 5G คือสมาร์ทโฟนระดับ High Mid Range ที่คุ้มค่าเกินราคา ไม่ว่าจะเป็byนหน้าจอ Amoled 120 Hz ที่สวยงามและลื่นไหล , ชิปเซ็ต Snapdragon 695 รุ่นใหม่ แรงมากกว่าที่เคย , กล้องหลัง 108 ล้านพิกเซล โปรเกรด คมชัดทุกสถานการณ์ และ แบตเตอรี่ 5000 mAh พร้อม 67W Turbo Charge ในค่าตัวเพียง 10,990 บาท เท่านั้น ถือว่าคุ้มค่าเกินคำบรรยายจริงๆครับ
Article By : โลกไอทีวันนี้
CASINO DE CASINO RANK (2019) - Goyang FC
ReplyDeleteCASINO 승인전화없는 토토 꽁머니 RANK (2019) · The main e스포츠 information about this page. · The casino is 더킹 바카라 located in Casa Las Vegas, Nevada. · A gambling establishment located in a 아르고캡쳐 hotel 메이저사이트 추천 lobby