FullReview | Samsung Galaxy Tab S10 FE Series คู่พี่น้องแท๊บเล็ตรุ่นใหม่ ขวัญใจคนชอบจอใหญ่สูงสุด 13.1 นิ้ว พร้อมสเปครอบด้านครบครัน !!!
ในวันนี้เราขอพาทุกท่านไปรู้จักกับ Samsung Galaxy Tab S10 FE และ Tab S10 FE+ แท๊บเล็ตรุ่นใหม่ที่กำลังจะวางจำหน่าย มีจุดเด่นเน้นที่ขนาดหน้าจอที่ใหญ่ขึ้น
โดย Galxy Tab S10 FE มีขนาด 10.9 นิ้ว ควบคู่ไปกับ Tab S10 FE+ ที่มีขนาด 13.1 นิ้ว ซึ่งเป็นหน้าจอที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในกลุ่มผลิตภัณฑ์แท็บเล็ตราคาประหยัดของ Samsung
OverView จุดเปลี่ยนสำคัญในรุ่นนี้
ขนาดที่ใหญ่ขึ้น : หน้าจอ 13.1 นิ้ว ของ Tab S10 FE+ ทำให้หน้าจอ 10.9 นิ้ว ของรุ่นก่อนดูเล็กทันที และยังใหญ่กว่า Tab S9 FE+ ขนาด 12.4 นิ้ว อีกด้วย
ดีไซน์ล้ำสมัย : แท็บเล็ตทั้งสองรุ่นยังคงมีความบางพิเศษเพียง 6 มม. — บางกว่ารุ่นก่อนหน้า 0.5 มม. — แม้ว่ารุ่น FE+ จะมีขนาดจอที่ใหญ่ขึ้นก็ตาม
สเปคที่เหมือนกัน : ทั้งสองรุ่นขับเคลื่อนด้วยชิปเซ็ต Exynos 1580 มีตัวเครื่องอะลูมิเนียม ที่รองรับมาตรฐาน IP68 , Wi-Fi 6E , NFC และ การเชื่อมต่อ 5G (เฉพาะรุ่น 5G)
สเปคอื่นๆของ Samsung Galaxy Tab S10 FE และ Tab S10 FE+
Galaxy Tab S10 FE มีหน้าจอ LCD WUXGA+ ขนาด 10.9 นิ้ว พร้อมอัตรารีเฟรช 90Hz ในขณะที่ Tab S10 FE+ มีหน้าจอ LCD WQXGA+ ขนาด 13.1 นิ้ว ที่ใหญ่กว่า แท็บเล็ตทั้งสองรุ่นยังคงใช้เฟรมอลูมิเนียมที่แข็งแรงและได้รับการรับรองมาตรฐาน IP68 สำหรับการกันน้ำและฝุ่น
ใช้งานชิปเซ็ต Exynos 1580 ที่ผลิตเอง ซึ่งเป็นโปรเซสเซอร์ octa-core ขนาด 4nm ในทั้งสองรุ่น แม้ว่าจะไม่ใช่ SoC ระดับเรือธง แต่ก็มีประสิทธิภาพเพียงพอสำหรับงานประจำวัน การใช้งานมัลติมีเดีย
นอกจากนี้ Samsung ยังติดตั้งแบตเตอรี่ขนาด 8000mAh ให้กับ Tab S10 FE ในขณะที่ Tab S10 FE+ มีแบตเตอรี่ขนาดใหญ่กว่า 10,090mAh ทั้งสองรุ่นรองรับการชาร์จเร็ว 45W
สำหรับกล้องนั้น ด้านหลังมีกล้อง 13MP พร้อมระบบออโต้โฟกัสและแฟลช LED ด้านหน้ามีกล้องอัลตราไวด์ 12MP พร้อมมุมกว้าง 120 องศา
บริษัทยังทุ่มเทในการผสานรวม AI กับ Galaxy Tab S10 FE และ S10 FE+ ด้วยเครื่องมือใหม่หลายตัวที่ขับเคลื่อนด้วย AI ซึ่งมุ่งเป้าไปที่การเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและความคิดสร้างสรรค์ หนึ่งในนั้นคือ Circle to Search ของ Google และแน่นอนว่าแท็บเล็ตทั้งสองรุ่นจะรองรับ S Pen ทันทีที่แกะกล่อง
ความโดดเด่นที่สำคัญคือ ปากกา S - Pen รองรับแรงกดได้ถึง 4,096 ระดับ และมีอัตราความหน่วงอยู่ที่ 26 มิลลิวินาที ทำให้ตอบสนองได้ไวขึ้น อีกทั้งไม่จำเป็นต้องชาร์จแบตเตอรี่ สามารถหยิบมาใช้งานได้ตลอดเวลาโดยไม่ต้องกังวลว่าแบตเตอรี่จะหมด และไม่ต้องหาซื้อเพิ่ม เพราะปากกา S Pen รุ่นนี้ แถมมาให้กับตัวเครื่องอยู่แล้ว
ทีนี้เราลองมาดูแยกกันทีละรุ่น เริ่มต้นที่พี่ใหญ่อย่าง Galaxy Tab S10 FE+ กันก่อน
🔵 สเปค Samsung Galaxy Tab S10 FE+
หน้าจอชนิด IPS LCD ขนาด 13.1 นิ้ว , ความละเอียด WQXGA+ (2880 × 1800 พิกเซล) , อัตรารีเฟรช 90Hz , ความสว่างสูงสุด 800nits , รองรับ Vision Booster
CPU : Samsung Exynos 1580
GPU : Xclipse 540
RAM : 12GB
ROM : 256GB
รองรับ Micro SD Card สูงสุด 2TB
รองรับ Dual Sim Card (1 Physical + 1 eSim)* เฉพาะรุ่น 5G
กล้องหลังความละเอียด 13 ล้านพิกเซล
กล้องหน้าความละเอียด 12 ล้านพิกเซล
รองรับระบบสแกนใบหน้า
รองรับระบบสแกนนิ้วมือที่ปุ่ม Power
รองรับปากกา S - Pen แรงกด 4,096 ระดับ
รองรับลำโพงคู่ แบบ Stereo
รองรับระบบเสียง Dolby Atmos
การเชื่อมต่อ : WiFi6 / Bluetooth 5.3
พอร์ตเชื่อมต่อแบบ : USB Type - C
แบตเตอรี่ความจุ : 10090 mAh + 45W Super Adaptive Fast Charging
ระบบปฎิบัติการ : Android 15 + One UI 7.0
ขนาด : 300.6 x 194.7 x 6.0 มม.
น้ำหนัก : 664 กรัม (WiFi) / 668 กรัม (5G)
ตัวเลือกสี : Gray
Display & Design
Samsung Galaxy Tab S10 FE+ มาพร้อมวัสดุประกอบตัวเครื่องแบบ Metal Unibody ให้สัมผัสที่หรูหราและมีน้ำหนักค่อนข้างสมดุลกับขนาด โดยตัวเครื่องอยู่ที่ 300.6 x 194.7 x 6.0 มม. น้ำหนัก 664 กรัม (WiFi) / 668 กรัม (5G)
ใช้หน้าจอชนิด IPS LCD ขนาด 13.1 นิ้ว, ความละเอียด 2880 × 1800 พิกเซล โดยที่ขอบจอบนมีกล้องหน้าความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ติดตั้งอยู่
ด้วยหน้าจอขนาดใหญ่ทำให้รองรับการใช้งานที่หลากหลายมากขึ้น ตัวอย่างเช่น
ด้านความบันเทิงก็ทำได้แบบจัดเต็ม ด้วยหน้าจอ 90Hz แสดงผลลื่นไหล และ ความสว่างหน้าจอสูงสุดที่เพิ่มขึ้นจากรุ่นก่อนเป็น 800nits ทำให้การรับชมชัดเจนยิ่งขึ้น อีกทั้งยังมีฟีเจอร์ Vision Booster ที่รองรับการปรับแสงสี ให้เห็นจอชัดเจน สีสดใสมากยิ่งขึ้น
สะดวกกว่าในการทำงาน
Samsung Galaxy Tab S10 FE+ มีหน้าจอที่ใหญ่ถึง 13.1 นิ้ว ทำให้การทำงานในแง่ของการประชุม Online มีความสะดวกกว่ารุ่นอื่นๆอย่างชัดเจน ด้วยการมองเห็นผู้เข้าร่วมประชุมได้มากกว่า สไลด์ที่ใช้ประชุมก็ชัดเจนกว่า ควบคุมการทำงานก็ทำได้ดีกว่าหน้าจอเล็กๆเช่นกัน
อีกทั้งยังรองรับการทำงานกับแอปพลิเคชั่นอื่นๆสะดวกยิ่งขึ้น เช่น Line สามารถ Log in โดยใช้บัญชีเดียวกันกับมือถือบน Galaxy Tab ได้แล้ว
การทำงานแบบ Multi Tasking ยิ่งสะดวก
ด้วยหน้าจอขนาดใหญ่ สามารถทำหลายงานไปพร้อมๆกันได้ โดยแบ่งหน้าจอสูงสุดได้ 3 จอ (ไม่นับคุณสมบัติ Floating Windows เฉพาะตัวในแต่ละแอปพลิเคชั่น) สามารถดูและแก้ไขใช้งานรายละเอียดต่างๆได้ดี และยังสามารถปรับแต่งเลื่อนจอขึ้นลงซ้ายขวาได้อย่างอิสระ พร้อมบันทึกรูปแบบการวางจอที่ใช้บ่อยๆเป็น Favorite สำหรับเปิดใช้งานในครั้งต่อๆไปได้ อีกทั้งยังรองรับ DeX Mode สำหรับใช้งานได้แบบ PC like experience ด้วย
กลับมาที่ด้านดีไซน์ตัวเครื่อง มีความบางลง 0.5มม. เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า (Tab S9 FE+)
ขอบด้านบนของตัวเครื่อง ประกอบด้วย ถาดใส่ซิมการ์ด (1 ซิม + microSD Card) , ไมโครโฟน, ปุ่มปรับระดับเสียง และปุ่ม Power ที่รองรับการสแกนนิ้วมือ
ขอบด้านซ้าย มีลำโพง Speaker และ ไมโครโฟนตัดเสียงรบกวน
ขอบด้านขวามี ลำโพง Speaker และ พอร์ต USB Type - C
ส่วนขอบล่างมี Connector Pin สำหรับเชื่อมต่อกับ Book Cover Keyboard
ส่วนด้านหลังนั้นมีเพียง กล้องความละเอียด 13 ล้านพิกเซล (ไม่มีไฟแฟลช LED)
Hardware & Performance
ด้านสเปคของหน่วยประมวลผล มาพร้อมชิปเซ็ต Exynos 1580 4nm ที่ประกอบด้วย
✅ Octa Core CPU - 1 × 2.9 GHz Cortex-A720 + 3 × 2.6 GHz Cortex-A720 + 4 × 1.95 GHz Cortex-A520
✅ สถาปัตยกรรม 4 nm FinFet
✅ GPU : Xclipse 540
✅ AI Engine 6K MAC NPU
โดยทำให้การใช้งานภาพรวมมีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นกว่าเดิม และมาพร้อมตัวเลือก RAM สูงสุด 12GB และ ความจุสูงสุด 256GB
ผลทดสอบประสิทธิภาพด้วยโปรแกรม GeekBench 6.0 ออกมาได้คะแนนดังนี้
Multi Core 3678 คะแนน
Single Core 1342 คะแนน
Software
มาพร้อมระบบปฎิบัติการ One UI 7.0 บน Android 15 ที่ค่อนข้างเสถียรและมีชื่อเสียงโด่งดังด้านการใช้งานที่ง่าย และออกแบบได้สวยงาม รองรับการอัปเดต OS ถึง 6 ปี อีกทั้งยังมาพร้อมคุณสมบัติด้าน AI มากมาย เช่น
Circle to Search แค่วงกลมก็ค้นหาข้อมูลได้ง่ายๆ
Best Face ไม่ต้องกังวลเรื่องหน้าตอนถ่ายภาพ มาแก้ไขทีหลังให้ได้ใบหน้าที่ดีที่สุดแบบง่ายๆ โดยเครื่องมือนี้จะช่วยปรับแต่งสีหน้าของแต่ละคนให้สมบูรณ์แบบที่สุด ด้วยเทคโนโลยี AI ฟีเจอร์นี้จะเลือกภาพจากโหมดถ่ายต่อเนื่อง (burst shots) เพื่อค้นหาสีหน้าที่ดีที่สุดของแต่ละบุคคล และปรับแต่งภาพให้ดูเป็นธรรมชาติกลมกลืน หากใครหลับตา ระบบจะช่วยแก้ไขได้อย่างง่ายดายเพื่อคืนความสมบูรณ์แบบให้กับภาพ
Object Eraser ที่อัปเกรดขึ้นอีกขั้น ลบวัตถุที่ไม่ต้องการในภาพได้แบบครอปอัตโนมัติ เพียงแค่วงรอบวัตถุที่ต้องการลบ
ปากกา S - Pen
ถูกออกแบบมาโดยคำนึงถึงความถนัดในการเขียนมากยิ่งขึ้น ด้วยแท่งปากกาจะไม่ใช่ทรงกลม แต่มีด้านตัด สำหรับวางติดกับขอบตัวเครื่อง โดยยึดติดแบบแม่เหล็กได้แนบสนิทแล้ว ยังทำให้เขียนง่ายขึ้นด้วยครับ
และในเมื่อมีปากกา S Pen จึงมีแอพพลิเคชั่น Samsung Notes ที่ทำให้การจดบันทึกรวดเร็วและง่ายขึ้น โดยผู้ใช้สามารถเปลี่ยนบันทึกย่อที่เขียนด้วยลายมือให้เป็นข้อความเพื่อให้ง่ายต่อการแก้ไขและแบ่งปัน ด้วยฟีเจอร์ Hand Writing to Text ที่แปลงลายมือเขียนให้กลายเป็นตัวอักษรและสามารถส่งออกเป็นไฟล์ Word , PDF หรือ Text ได้ทันที
ฟีเจอร์ S Pen Translate แปลภาษาได้หมด ไม่ว่าจะเป็นบนรูปภาพ บทความ เอกสาร ก็แปลได้แบบ Real - Time ง่ายๆ
ฟีเจอร์ Screen Write แคปหน้าจอ แล้วแก้ไขเลือกครอป เลือกเขียนได้ตามความต้องการอย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติสำหรับการ Create Content ที่สร้างสรรค์ยิ่งกว่าเดิม และ คุณสมบัติสุดคลาสสิคอย่าง Screen Off Memo และ Live Message ก็มีมาด้วยเช่นกัน
Camera
ต้องบอกว่า กล้องถ่ายรูป ไม่ใช่โจทย์หลักของ Tablet อยู่แล้วครับ แต่ก็พอจะมีไว้ให้ถ่ายใช้งานกันได้อยู่หลายฟีเจอร์ เช่น Portrait , VDO , Pro Mode , Panorama , Food , Hyperlapse , Single Take พร้อมรองรับ Digital Zoom สูงสุด 8 เท่า กับ Scene Optimizer
ตัวอย่างภาพถ่าย
Battery
Samsung Galaxy Tab S10 FE+ มาพร้อมกับแบตเตอรี่ 10090 mAh ซึ่งถือว่ามีขนาดค่อนข้างใหญ่มาก และรองรับ 45W Super Adaptive Fast Charging อีกด้วย ทำให้ครอบคลุมการใช้งานได้ตลอดทั้งวันแบบสบายๆ แม้ว่าจะออกไปทำงานหรือเดินทางนอกสถานที่ไกลๆก็ไม่หวั่น และยังสามารถใช้ดูหนัง คอนเท้นต์ได้ยาวๆ 10 - 11 ชั่วโมงเลย
ทีนี้มาดูน้องเล็กอย่าง Samsung Galaxy Tab S10 FE กันบ้าง
🔵 สเปค Samsung Galaxy Tab S10 FE
หน้าจอชนิด IPS LCD ขนาด 10.9 นิ้ว , ความละเอียด 2304 × 1440 พิกเซล , อัตรารีเฟรช 90Hz , ความสว่างสูงสุด 800nits , รองรับ Vision Booster
CPU : Samsung Exynos 1580
GPU : Xclipse 540
RAM : 8GB
ROM : 128GB
รองรับ Micro SD Card สูงสุด 2TB
รองรับ Dual Sim Card (1 Physical + 1 eSim)* เฉพาะรุ่น 5G
กล้องหลังความละเอียด 13 ล้านพิกเซล
กล้องหน้าความละเอียด 12 ล้านพิกเซล
รองรับระบบสแกนใบหน้า
รองรับระบบสแกนนิ้วมือที่ปุ่ม Power
รองรับปากกา S - Pen แรงกด 4,096 ระดับ
รองรับลำโพงคู่ แบบ Stereo
รองรับระบบเสียง Dolby Atmos
การเชื่อมต่อ : WiFi6 / Bluetooth 5.3
พอร์ตเชื่อมต่อแบบ : USB Type - C
แบตเตอรี่ความจุ : 8000mAh + 45W Super Adaptive Fast Charging
ระบบปฎิบัติการ : Android 15 + One UI 7.0
ขนาด : 254.3 x 165.8 x 6.0 มม.
น้ำหนัก : 497 กรัม (WiFi) / 500 กรัม (5G)
ตัวเลือกสี : Gray และ Blue
ซึ่งต้องบอกว่าคุณสมบัติทั้งหมดนั้นแทบจะเหมือนกับ Galaxy Tab S10 FE+ ทุกประการ แตกต่างกันแค่
• ขนาดหน้าจอ
• RAM / ROM
• ความจุแบตเตอรี่
ณ จุดนี้ขอไม่พูดซ้ำ เพราะอะไรที่ Galaxy Tab S10 FE+ ทำได้ Tab S10 FE ก็ทำได้เหมือนกันทั้งหมด ดังนั้นขึ้นอยู่กับว่า ชอบจอใหญ่มาก หรือ ชอบจอใหญ่กำลังดี แล้วแต่ความถนัดในการใช้งานของแต่ละบุคคลครับ
แต่ใน Tab S10 FE จะขอมาพูดถึงอุปกรณ์เสริมอย่าง Book Cover Keyboard ที่ตัวใหญ่อย่าง Tab S10 FE+ ก็มีเช่นกันครับ แต่เราเอาของตัวเล็กมาใส่ให้ดูว่าเป็นอย่างไร
ตัว Book Cover Keyboard มีสีดำ ผิววัสดุหนัง ให้การสัมผัสที่ดี
มีช่องเก็บปากกา S Pen แบบซ่อนขณะพับได้
ตัวเครื่องมีความหนาเท่ากับ Tab S10 FE+ ทำให้ดูเพรียวบาง พกพาสะดวก
ที่ Keyboard รองรับปุ่ม AI ที่สามารถกดเรียก Gemini ได้ในครั้งเดียว
แบตเตอรี่ขนาด 8000mAh ในหน้าจอ 10.9 นิ้ว สามารถใช้งานได้อย่างยาวนานตลอดวัน โดยไม่ต้องกังวลเช่นกัน และยังรองรับชาร์จเร็ว 45W อีกด้วย
การวางจำหน่าย
Samsung Galaxy Tab S10 FE Series เปิดพรีออเดอร์ 10 –23 เมษายน 2568 ลูกค้าที่สั่งจองในช่วงเวลาดังกล่าว มัดจำ 500 บาท รับฟรี
1. Adapter 45 W (1,090 บาท)
2. Book Cover Keyboard (มูลค่า 2,990 บาท)
มูลค่ารวม 4,080 บาท (เฉพาะSamsung Experience Store และ Samsung.com และสาขาที่ร่วมรายการ)
ราคาจำหน่าย
Samsung Galaxy Tab S10 FE (RAM 8GB/ROM 128GB)
● รุ่น WiFi ราคา 17,900 บาท
● รุ่น 5G ราคา 20,900 บาท
Samsung Galaxy Tab S10 FE+ (RAM 12GB/ROM 256GB)
● รุ่น WiFi ราคา 26,900 บาท
● รุ่น 5G ราคา 29,900 บาท
สรุป
Samsung Galaxy Tab S10 FE Series ถือเป็นแท๊บเล็ตชั้นดีที่ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การใช้งานขั้นพื้นฐานในชีวิตประจำวันตลอดไปจนถึงการทำงานอันหลากหลาย ด้วย S Pen ที่เป็นเอกลักษณ์และนวัตกรรมของทาง Samsung ให้ความใกล้เคียงกับการเขียนด้วยปากกาจริงๆ และเสริมด้วยความโดดเด่นของฟีเจอร์ทันสมัยต่างๆ อย่าง AI พ่วงด้วยหน้าจอที่มีขนาดให้เลือกถึง 2 ไซส์ตามความถนัดของแต่ละบุคคล ก็แทบจะครอบคลุมแบบจบครบทุกอย่างในเครื่องเดียวแล้วครับ
Article By : โลกไอทีวันนี้
Comments
Post a Comment