คณะกรรมการกลางกำกับดูแลกิจการสื่อสารของสหรัฐอเมริกา (FCC) ขึ้นบัญชี Huawei และ ZTE ว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ !!!! โดยหน่วยงานโทรคมนาคมไม่สามารถใช้เงินอุดหนุนของรัฐบาลกลางเพื่อซื้ออุปกรณ์จากสองบริษัทนี้ได้อีกต่อไป !!!!



ในสัปดาห์ที่ผ่านมา Federal Communications Commission หรือ FCC ซึ่งเป็น คณะกรรมการกลางกำกับดูแลกิจการสื่อสารของสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศอย่างเป็นทางการให้ บริษัท โทรคมนาคม Huawei และ ZTE เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ




“จากหลักฐานที่มีน้ำหนักมาก ในวันนี้ FCC จึงประกาศให้ Huawei และ ZTE เป็นความเสี่ยงด้านความปลอดภัยระดับชาติต่อเครือข่ายการสื่อสารของอเมริกาและสำหรับอนาคต 5G ของเรา” Ajit Pai ประธาน FCC กล่าวในแถลงการณ์เมื่อวันอังคาร  

“ทั้งสอง บริษัท มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนและระบอบทางทหารของจีน และทั้งสองบริษัทอยู่ภายใต้กฎหมายจีนที่บังคับให้พวกเขาต้องให้ร่วมมือกับหน่วยข่าวกรองของประเทศได้”


ด้วยการกำหนดให้ Huawei และ ZTE เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา ทำให้เหล่าบริษัทผู้ให้บริการด้านการสื่อสารโทรคมนาคมไม่สามารถใช้เงินอุดหนุนจากรัฐบาลผ่านกองทุนบริการสากลจำนวนกว่า 8.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อซื้ออุปกรณ์ในการสร้างเครือข่ายของพวกเขาได้  โดย FCC ลงมติเป็นเอกฉันท์ให้บล็อกบริษัทโทรคมนาคมจากการใช้เงินของรัฐบาลกลาง เพื่อซื้ออุปกรณ์จาก Huawei เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา แต่คำสั่งสุดท้ายมีผลบังคับใช้ในวันอังคารที่ผ่านมา

Huawei และ ZTE ยังคงไม่ตอบสนองต่อสถานการณ์นี้ในทันที  อย่างไรก็ตามทั้งสองบริษัทได้ปฏิเสธมาโดยตลอดว่าพวกเขาเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของสหรัฐอเมริกา

การประกาศของ FCC เพื่อบล็อกบริษัทโทรคมนาคมจากการใช้เงินกองทุนกลางเพื่อซื้ออุปกรณ์จาก Huawei และ ZTE อาจทำให้บริษัทขนาดเล็กทำงานได้ยากขึ้นในการให้บริการที่เหมาะสมแก่ผู้ใช้




ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมารัฐบาลได้เรียกร้องให้บริษัท โทรคมนาคมที่เชื่อมโยงกับจีนเช่น Huawei และ ZTE ถูกสั่งแบนจากสหรัฐฯ เนื่องจากความกังวลเรื่องการจารกรรมและความมั่นคงของชาติ กระทรวงพาณิชย์เริ่มแบน Huawei เมื่อเดือนพฤษภาคม 2019 และได้แก้ไขข้อกฎหมายเมื่อเร็วๆนี้ เพื่อให้บริษัทสามารถช่วยกำหนดมาตรฐานสำหรับการปรับใช้ 5G ตามรายงานของ TechCrunch แต่ล่าสุดฝ่ายบริหารของทรัมป์ได้กลับลำไปห้ามผู้ประกอบการใช้งบของรัฐบาลกลางแทน ซึ่งเรายังคงต้องติดตามสถานการณ์นี้กันต่อไป

Source : The Verge
Article By : โลกไอทีวันนี้

Comments