FullReview : Redmi Note 11 จัดชุดใหญ่มาให้คุณ !!! ด้วยหน้าจอ Amoled 90 Hz , ชิปเซ็ต Snapdragon 680 , กล้องหลัง 4 ตัว 50 ล้านพิกเซล , ลำโพงคู่ Stereo และ แบตเตอรี่ 5000 mAh + 33W Pro Fast Charging ในราคาเริ่มต้นเพียง 6,299 บาท !!!!


Redmi แบรนด์ย่อยภายใต้ Xiaomi ที่เรารู้จักกันดี ได้เปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ Redmi Note 11 Series โดยส่ง Redmi Note 11 ประเดิมตลาดเป็นรุ่นแรก ด้วยสเปคคุ้มค่า แต่ว่าจะมีอะไรน่าสนใจบ้าง ลองไปดูกันครับ

สเปค Redmi Note 11

หน้าจอ Dot Display ชนิด Amoled ขนาด 6.43 นิ้ว , ความละเอียด Full HD+ พร้อมอัตรา Refresh Rate 90 Hz, Touch Sampling Rate 180 Hz , ความสว่างสูงสุด 1,000 nits, ช่วงสี DCI-P3 100% ครอบทับด้วยกระจกกันรอย Corning Gorilla Glass 3
CPU : Qualcomm Snapdragon 680 Octa Core
GPU : Adreno 612
RAM : 4 GB/6 GB ชนิด LPDDR4x
รองรับ Extended RAM 2 GB
ROM : 64 GB/128 GB ชนิด UFS 2.2
รองรับ Micro SD Card สูงสุด 1 TB
รองรับ 2 Sim Cards
รองรับ 4G + Dual VoLTE
กล้องหลัง 4 ตัว ประกอบด้วย
กล้องหลังหลัก 50 ล้านพิกเซล , f/1.8
เลนส์ Ultra Wide 8 ล้านพิกเซล มุมกว้าง 118 องศา
เลนส์ Macro 2 ล้านพิกเซล , f/2.4
เลนส์ Portrait 2 ล้านพิกเซล , f/2.4
กล้องหน้าความละเอียด 13 ล้านพิกเซล , f/2.4
รองรับระบบสแกนใบหน้า
รองรับระบบสแกนนิ้วมือที่ปุ่ม Power
รองรับพอร์ต IR Blaster
รองรับลำโพงคู่แบบ Stereo + Hi - Res Audio
รองรับช่องหูฟัง 3.5 mm.
รองรับการกันน้ำกันฝุ่นมาตราฐาน IP53
รองรับ Z - Axis Linear Motor
รองรับ Wi-Fi 802.11 ac (2.4GHz + 5GHz, Bluetooth 5, GPS / GLONASS / Beidou
พอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type - C
แบตเตอรี่ความจุ : 5000 mAh + 33W Pro Fast Charging
ระบบปฎิบัติการ : Android 11 + MIUI 13
ขนาดตัวเครื่อง : 160.46×74.5×8.9 มม.
น้ำหนัก : 181 กรัม

Unboxing

กล่องของ Redmi Note 11 ยังคงเอกลักษณ์ด้วยพื้นสีขาว เนื้อกระดาษแบบด้านสะอาดตา

ภายในกล่องประกอบด้วย

- ตัวเครื่อง Redmi Note 11 × 1 เครื่อง
- เคสใสแบบ TPU × 1 ชิ้น
- สาย USB Type C × 1 เส้น
- 33W Pro Charge × 1 ตัว
- เข็มจิ้มถาดซิมการ์ด × 1 ชิ้น
- เอกสารและคู่มือต่างๆ × 1 ชุด

Display & Design

Redmi Note 11 มาพร้อมกับหน้าจอแบบ DotDisplay ชนิด AMOLED ขนาด 6.43 นิ้ว , ความละเอียด Full HD+ , ครอบทับด้วยกระจกกันรอย Gorilla Glass 3 มีอัตราการรีเฟรชหน้าจอ 90 Hz ซึ่งพัฒนาขึ้นจากรุ่นก่อนอย่าง Redmi Note 10 ที่มีอัตรา Refresh Rate เพียง 60 Hz

และหน้าจอค่อนข้างสวยงามมากขึ้น ความสว่างสูงสุดถึง 1,000 nits ทำให้ในแง่ของสีสันและการแสดงผลรวมถึงความคมชัด จัดว่าดีเยี่ยม โดยในกลุ่มราคานี้ยังยากที่จะมีใครให้หน้าจอ Amoled เกรดดีๆเท่านี้มาใช้งาน

รองรับระบบ Always On Display ที่ให้การปรับแต่งได้ค่อนข้างอิสระ

ด้านหลังมาพร้อมกับกล้อง 4 ตัว (Quad Rear Camera) วางเรียงในโมดูลทรงสี่เหลี่ยมมน ทำให้มีความสวยงามและดูพรี่เมี่ยมมากยิ่งขึ้น พร้อมฝาหลังแบบเคลือบผิวแบบด้านในสี Graphite Gray

ขอบบนเป็นที่อยู่ของช่องลำโพงสนทนา , ลำโพง Speaker , พอร์ต IR Blaster และ ไมโครโฟนตัดเสียงรบกวน

ที่ขอบด้านซ้ายมีช่องใส่ถาดซิมการ์ดแบบ Triple Slot


ขอบด้านขวามี ปุ่มเพิ่ม/ลด ระดับเสียง และ ปุ่ม Power ซึ่งสามารถใช้งานเป็นเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือ ได้ อีกทั้งยังมีการออกแบบทรงปุ่มใหม่ ให้ดูเทอะทะน้อยลง แต่ยังคงสแกนได้รวดเร็วและแม่นยำ


ขอบล่างมี ไมโครโฟนสนทนา , พอร์ต USB Type - C และ ลำโพง Speaker ตามลำดับ

โดยภาพรวมแล้วการออกแบบและวัสดุประกอบตัวเครื่องของ Redmi Note 11 นั้นยังคงรักษามาตราฐานไว้เป็นอย่างดี ด้วยงานประกอบที่แน่นหนา แข็งแรง ถือจับกระชับมือ รวมไปถึงหน้าจอ Amoled ที่มีความสวยงามและลื่นไหลมากขึ้นกว่ารุ่นก่อนครับ

Performance

Redmi Note 11 มาพร้อมกับชิปเซ็ต​ Qualcomm Snapdragon 680 แบบ Octa Core ที่ถือว่าเป็นชิปเซ็ตระดับกลางรุ่นใหม่ล่าสุด ณ เวลานี้ ใช้กระบวนการผลิตขนาด 6 นาโนเมตร ซึ่งประหยัดพลังงานมากขึ้น ภายในประกอบด้วย ซีพียูแบบ Octa Core โดยมี Cortex-A73 จำนวน 4 แกน และ Cortex-A55 อีก 4 แกน ความเร็วสูงสุด 2.4 GHz ส่วน GPU ใช้ Adreno 610 ที่มีความเร็วสูงถึง 1.1 GHz และ มีหน่วยประมวลผล AI เป็น Hexagon 686

โดยรุ่นที่นำมาทดสอบนี้เป็นรุ่น RAM 6 GB/ROM 128 GB รองรับ Micro SD Card สูงสุด 1 TB

ทำงานภายใต้ระบบปฎิบัติการ Android 11 และ MIUI 13 ใหม่ล่าสุด ซึ่งจะมีเทคโนโลยีที่ทำให้ระบบเรียนรู้และจัดสรรค์ทรัพยากรต่างๆ เพื่อให้เครื่องสามารถทำงานได้เร็วและมีประสิทธิภาพสูงสุดอยู่ตลอดเวลา​ อีกทั้งยังมีลูกเล่นในการปรับแต่งใหม่ๆ เช่น Control Center , Smart Devices และการปรับแต่งอีกมากมาย

MIUI 13 มุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงฟังก์ชั่นหลัก โดยมีความลื่นไหลโดยรวมเพิ่มขึ้น 52%  บริษัทได้ปรับปรุง Focused Algorithms, Atomized Memory และ Liquid Storage ที่พัฒนาขึ้นเอง และระบบใหม่นี้เน้นที่การปรับความสามารถในการประมวลผลสำหรับแอปหลักระหว่างการใช้งานที่หนักหน่วง

MIUI 13 ป้องกันและลดการเสื่อมสภาพของความสามารถในการอ่าน-เขียนผ่าน Atomized Memory และ Liquid Storage technology 5% ในช่วง 36 เดือน ซึ่งช่วยยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์ได้นานยิ่งขึ้น

ผลทดสอบประสิทธิภาพด้วยแอพพลิเคชั่น GeekBence 5.0 ได้ผลทดสอบ Single Core 354 คะแนน ส่วน Multi Core ได้ 1610 คะแนน

Gaming


มี Game Turbo 3.0 สำหรับช่วยจัดระบบระเบียบทรัพยากรภายในตัวเครื่องให้มีประสิทธิภาพดีที่สุดยามคุณอยู่ในโลกของเกมส์ และช่วยปิดการแจ้งเตือนต่างๆที่ไม่สำคัญ เพื่อป้องกันการรบกวน รวมไปถึงการเปิดแอปแบบ Floating Windows เพื่อทำงานและเล่นเกมไปพร้อมๆกันได้

โดยทดสอบด้วยเกมส์ PUBG Mobile สามารถเปิดกราฟิคได้สูงสุดระดับ Balance แต่เปิด Frame rate ที่ระดับ Medium ได้ โดยการเล่นมีจังหวะหน่วงบ้างเล็กน้อย แต่ภาพรวมสามารถเล่นได้ค่อนข้างลื่นไหล ไม่มีปัญหาครับ

ระบบรักษาความปลอดภัย

มาพร้อมระบบสแกนลายนิ้วมือ ที่ยังคงมีประสิทธิภาพให้การทำงานได้รวดเร็วมาก และสามารถใช้ระบบสแกนใบหน้าแบบ AI Face Unlock ได้เช่นเคย

Camera

สำหรับระบบกล้องหลัง 4 ตัว ประกอบด้วย กล้องตัวหลัก 50 ล้านพิกเซล (f/1.8) , กล้อง Ultra Wide 8 ล้านพิกเซล ให้มุมกว้าง 118 องศา รวมถึง กล้อง Macro และ กล้อง Depth 2 ล้านพิกเซล

กล้องหลักดี มีความคมชัดสูง ปรับจูนสีได้ดีขึ้นกว่ารุ่นก่อน แต่ยังคงติด Under Tone อยู่บ้างในบางสภาวะแสง

ภาพถ่ายมุมกว้างแบบ​ Ultra​ Wide​ มีประสิทธิภาพค่อนข้างดี​ มีมุมมองที่กว้างเก็บองค์ประกอบได้ครบถ้วน มีการแก้ไข​ Distort ของภาพให้ สำหรับการถ่ายในตอนกลางวันทำออกมาได้ยอดเยี่ยม แต่ตอนกลางคืนอาจจะมีอาการ Under Tone เล็กน้อยเช่นกัน

โหมด Macro ให้รายละเอียดที่ดีครบถ้วน ในระยะโฟกัส 4 ซม.

โหมดถ่ายภาพกลางคืน​ ถือว่าทำออกมาได้ค่อนข้างดี มีการประมวลผลค่อนข้างรวดเร็วมาก แต่หากมืดเกินไปจะเกิด Noise บนภาพถ่ายค่อนข้างเยอะ

ภาพถ่ายโหมด​บุคคล​ สามารถละลายหลังได้อย่างเป็นธรรมชาติ​ มีการตัดขอบได้เนียนตา และฉากหลังยังคงมีรายละเอียดครบถ้วน ไม่ฟุ้งเบลอมากเกินไป ซึ่งโดยส่วนตัว ยังคงยกให้ Xiaomi เป็นแบรนด์ที่ทำโหมด Portrait ได้ดีที่สุดอันดับต้นๆของวงการเลย

ส่วนกล้องหน้า มีความละเอียด 13 ล้านพิกเซล ที่มีความสามารถในการถ่าย 1080p @ 30fps พร้อม AI Beauty และ HDR

ตัวอย่างภาพถ่าย

กล้องหลัก



โหมด Ultra Wide


กล้อง Portrait

กล้อง Macro


โหมดกลางคืน


กล้องหน้า

ระบบเสียง

นี่คือไฮไลค์เด็ดที่สุดของ Redmi Note 11 นั่นคือการใส่ลำโพงคู่ Stereo มาให้ ที่สำคัญคือมีมิติเสียงที่ค่อนข้างดี มีความดังชัดเจน เปิดจนสุดแล้วเสียงไม่แตก แต่มีโทนเสียงในย่าน Flat ออกไปทางเสียงกลางเยอะ ไม่ได้เน้นเบสหรือเสียงแหลมมากไป

แบตเตอรี่

แบตเตอรี่ขนาด 5000 mAh พร้อมการสนับสนุนการชาร์จเร็ว 33W แบบใหม่ที่เรียกว่า Pro Charging ซึ่งสามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้เต็มในเวลาประมาณ​ ​1 ชั่วโมง ที่สำคัญคือหัวชาร์จ 33W แถมมาให้ในกล่องไม่ต้องไปหาซื้อแยกอีกด้วย

ราคาจำหน่าย

รุ่น 4GB + 128 ราคา 6,499 บาท

รุ่น 6GB + 128GB ราคา 6,999 บาท

ทั้ง 2 รุ่นวางจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ เป็นต้นไป พร้อมรับฟรี กระเป๋าผ้า Redmi Note 11 Series มูลค่า 590 บาท สำหรับผู้ที่ซื้อระหว่างวันที่ 5 - 28 กุมภาพันธ์ นี้

สรุป

Redmi Note 11 คือสมาร์ทโฟนระดับ Mid Range ที่คุ้มค่าเกินราคา ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอ Amoled 90 Hz ที่สวยงามและลื่นไหล , ชิปเซ็ต Snapdragon 680 รุ่นใหม่แรงแบบประหยัดพลังงานมากกว่าที่เคย , กล้องหลัง 50 ล้านพิกเซล คมชัดทุกสถานการณ์ และ แบตเตอรี่ 5000 mAh พร้อม 33W Pro Charging แลกกับมากับค่าตัวเริ่มต้นเพียง 6,299 บาท เท่านั้น จัดว่าคุ้มค่าจริงๆครับ

Article By : โลกไอทีวันนี้

Comments