นักวิจัยเผย การชาร์จสมาร์ทโฟนในห้องนอน อาจทำให้เกิดโรคอ้วน หรือ เบาหวาน ได้ !!!


มีรายงานที่อ้างว่า “การชาร์จสมาร์ทโฟนในห้องนอนจะส่งผลต่อการหลั่งเมลาโทนิน” ได้รับความสนใจ โดยนักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษได้แสดงให้เห็นว่า สภาพแวดล้อมในการนอนหลับที่มืดสนิทนั้นเอื้อต่อการผลิตเมลาโทนินในร่างกาย ซึ่งสามารถส่งเสริมการเผาผลาญของร่างกายมนุษย์และปรับปรุงคุณภาพการนอนหลับ  หากคุณชาร์จโทรศัพท์มือถือหรือแท็บเล็ตในห้องนอน จะส่งผลต่อการหลั่งเมลาโทนินในร่างกาย และผลที่ได้จะทำให้เกิดความไม่สมดุลของการเผาผลาญ และอาการต่างๆ เช่น โรคอ้วนและโรคเบาหวาน อาจตามมา

โดยการศึกษาอ้างว่าในสถานะสแตนด์บาย ค่าการแผ่รังสีแม่เหล็กไฟฟ้าของโทรศัพท์มือถือคือ 2.3 มิลลิเกาส์  จะเพิ่มขึ้นเป็น 3.4 มิลลิเกาส์ หลังจากเปิดการชาร์จ  นอกจากนี้ ค่ารังสีแม่เหล็กไฟฟ้าของโทรศัพท์มือถือที่ระยะห่าง 5 ซม. 10 ซม. และ 15 ซม. คือ 1, 0.5 และ 0.3 มิลลิเกาส์ ตามลำดับ

เราจะเห็นได้ว่าค่าการแผ่รังสีของโทรศัพท์มือถือนั้นแตกต่างกันภายใต้สภาวะสแตนด์บายและการเปิดเครื่องที่แตกต่างกันสองแบบ ยิ่งอยู่ห่างจากโทรศัพท์มือถือมากเท่าใด ค่ารังสีแม่เหล็กไฟฟ้าก็จะยิ่งน้อยลงเท่านั้น

ดังนั้น นักวิจัยจึงแนะนำให้คุณปิดโทรศัพท์มือถือเมื่อคุณนอนหลับ หากคุณทำไม่ได้ อย่านำโทรศัพท์มือถือเข้าไปในห้องนอน อย่าว่าแต่วางไว้ในห้องนอนเพื่อชาร์จแบตเตอรีหรือวางไว้ข้างหมอนเลย

การค้นพบนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่

ย้อนกลับไปในปี 2014 นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยกรานาดาและผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ ได้ทำการวิจัยเรื่องนี้ ทั้งคู่เห็นพ้องกันว่าการใช้คอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟนในเวลากลางคืนอาจทำให้อ้วนได้

นอกจากนี้ Ivy Cheung จาก Northwestern University ในชิคาโกกล่าวว่า

'การได้รับแสงสีฟ้า (Blue Enriched Light) จากหน้าจอคอมหรือมือถือ เพียงสามชั่วโมงในตอนเย็น ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความหิวและการเผาผลาญกลูโคส เราสนใจว่าการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการนอน-ตื่น อาจทำให้เกิดโรคเบาหวานและโรคอ้วนได้อย่างไร เรากำลังตรวจสอบว่าการนอนหลับที่ดีขึ้นจะส่งผลดีต่อสภาวะต่างๆ เช่น โรคเบาหวานและโรคอ้วนหรือไม่ มีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่าเราควรจะนอนหลับตอนกลางคืน เมื่อความมืดมาเยือนและเมลาโทนินก็เพิ่มขึ้น  เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น จะปิดกั้นเมลาโทนิน วัฏจักรมืดและสว่างนี้เป็นผลดีต่อร่างกายของเราในการทำนายการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม  ดังนั้น หากคุณเริ่มนอนหลับให้สั้นลง หรือได้รับแสงสว่างในเวลาที่ไม่ถูกต้องในช่วงดึก มันจะไปขัดขวางการหลั่งเมลาโทนินและนั่นอาจส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงในการเผาผลาญอาหาร'

Source : GizChina
Article By : โลกไอทีวันนี้

Comments