FullReview : Redmi Note 12 Pro Plus 5G และ 12 Pro 5G ตัวท๊อปสุดแห่งเรดหมี่ ที่จะเติมสีสันให้ชีวิตคุณ !!! ด้วย หน้าจอ Amoled 120 Hz , ชิปเซ็ต Dimensity 1080 , กล้องหลัง 200 ล้านพิกเซล / 50 ล้านพิกเซล และ แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ พร้อมระบบชาร์จ 120W / 67W !!!!



ในวันนี้ Xiaomi ได้ทำการเปิดตัวสมาร์ทโฟน Redmi Note 12 Series ภายใต้สโลแกน "Live Vivid หรือ เติมชีวิตให้มีสีสัน" ซึ่งมีถึง 4 รุ่น แบ่งเป็นรุ่นธรรมดาและรุ่น Pro โดยในรีวิวนี้ เราจะพามาทำความรู้จักกับ Redmi Note 12 Pro 5G และ Redmi Note 12 Pro Plus 5G ซึ่งเป็นรุ่นท๊อปสุดของซีรี่ย์ ที่ต้องบอกว่าทั้งสองตัวคุ้มค่าน่าจับจองเป็นเจ้าของอย่างมาก เราลองไปดูกันครับว่าเป็นอย่างไร

🟠 สเปค Redmi Note 12 Pro Plus 5G


หน้าจอ Dot Display ชนิด Amoled ขนาด 6.67 นิ้ว , ความละเอียด Full HD+ (2712 × 1220 พิกเซล) , อัตรา Refresh Rate 120 Hz Adaptive Sync , Touch Sampling Rate 240 Hz , อัตราคอนทราสต์ 4,500,000:1, รองรับช่วงสี DCI-P3, ความสว่างสูงสุด 1200 nits , PWM Dimming 1920 Hz , Sunlight display, Reading mode 3.0, ครอบทับด้วยกระจกกันรอย Corning Gorilla Glass 5
CPU : MediaTek Dimensity 1080
GPU : Mali-G68 MC4
RAM : 8 GB ชนิด LPDDR4x
ROM : 256 GB ชนิด UFS 2.2
รองรับ 2 Sim Cards
รองรับ 5G Dual Mode
กล้องหลัง 3 ตัว ความละเอียด 200 + 8 + 2 ล้านพิกเซล , f/1.7 + f/2.2 + f/2.4 , เซนเซอร์หลัก Samsung HMX
, ขนาด 1/1.65 นิ้ว , 7P Lens , รองรับ OIS , รองรับ Ultra Wide 120 องศา และ Macro Lens
การบันทึกวิดีโอกล้องหลัง : 4K @ 30fps
กล้องหน้าความละเอียด 16 ล้านพิกเซล , f/2.45
การบันทึกวิดีโอกล้องหน้า : 720P
รองรับลำโพงคู่แบบ Stereo
รองรับระบบเสียง Hi - Res Audio และ Dolby Atmos
รองรับระบบสแกนใบหน้า
รองรับระบบสแกนนิ้วมือที่ปุ่ม Power
ระบบการกันละอองน้ำกันฝุ่นมาตราฐาน IP53
รองรับระบบระบายความร้อนด้วยของเหลวแบบ VC 3000 มม.²
รองรับช่องหูฟัง 3.5 มม
รองรับ WiFi6 / Bluetooth 5.2 / NFC
รองรับพอร์ต IR Infrared
รองรับ X-axis horizontal linear motor
พอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type - C 2.0
แบตเตอรี่ความจุ : 4980 mAh + 120W HyperCharge (0-100% ใน 18 นาที)
ระบบปฎิบัติการ : Android 12 + MIUI 14
มิติตัวเครื่อง : 162.9 x 76 x 8.98 มม.
น้ำหนัก : 208 กรัม

🟠 สเปค Redmi Note 12 Pro 5G


หน้าจอ Dot Display ชนิด Amoled ขนาด 6.67 นิ้ว , ความละเอียด Full HD+ (2712 × 1220 พิกเซล) , อัตรา Refresh Rate 120 Hz Adaptive Sync , Touch Sampling Rate 240 Hz , อัตราคอนทราสต์ 4,500,000:1, รองรับช่วงสี DCI-P3, ความสว่างสูงสุด 1200 nits , PWM Dimming 1920 Hz , Sunlight display, Reading mode 3.0, ครอบทับด้วยกระจกกันรอย Corning Gorilla Glass 5
CPU : MediaTek Dimensity 1080
GPU : Mali-G68 MC4
RAM : 8 GB ชนิด LPDDR4x
ROM : 256 GB ชนิด UFS 2.2
รองรับ 2 Sim Cards
รองรับ 5G Dual Mode
กล้องหลัง 3 ตัว ความละเอียด 50 + 8 + 2 ล้านพิกเซล , f/1.8 + f/2.2 + f/2.4 , เซนเซอร์หลัก Sony IMX766
, ขนาด 1/1.56 นิ้ว , รองรับ OIS , รองรับ Ultra Wide 120 องศา และ Macro Lens
การบันทึกวิดีโอกล้องหลัง : 4K @ 30fps
กล้องหน้าความละเอียด 16 ล้านพิกเซล , f/2.45
การบันทึกวิดีโอกล้องหน้า : 720P
รองรับลำโพงคู่แบบ Stereo
รองรับระบบเสียง Hi - Res Audio และ Dolby Atmos
รองรับระบบสแกนใบหน้า
รองรับระบบสแกนนิ้วมือที่ปุ่ม Power
ระบบการกันละอองน้ำกันฝุ่นมาตราฐาน IP53
รองรับระบบระบายความร้อนด้วยของเหลวแบบ VC 3000 มม.²
รองรับช่องหูฟัง 3.5 มม
รองรับ WiFi6 / Bluetooth 5.2 / NFC
รองรับพอร์ต IR Infrared
รองรับ X-axis horizontal linear motor
พอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type - C 2.0
แบตเตอรี่ความจุ : 5000 mAh + 67W TurboCharge (0-100% ใน 46 นาที)
ระบบปฎิบัติการ : Android 12 + MIUI 14
มิติตัวเครื่อง : 162.9 x 76 x 7.98 มม.
น้ำหนัก : 187 กรัม


🟠 Unboxing


- ตัวเครื่อง Redmi Note 12 Pro Plus / 12 Pro
- สาย USB Type - C
- 120W HyperCharge / 67W Turbo Charge Adapter
- เข็มจิ้มถาดซิมการ์ด
- เคสกันรอย
- เอกสารประกอบ



มาเริ่มกันที่ Design ของทั้งสองรุ่นก่อน


Xiaomi ยังคงยึดหลักการออกแบบสมาร์ทโฟนในสไตล์มินิมอล โดยดีไซน์การออกแบบที่สวยเรียบง่าย ด้วยโมดูลกล้องหลักอยู่ด้านบน มีขนาดเซนเซอร์ที่ใหญ่ ช่วยทำให้ดูโดดเด่นขึ้น ถัดลงมาเป็นกล้อง Ultrawide และ เลนส์ Macro ที่ขนาดเล็กกว่า ที่ด้านข้าง และ ข้อความสลักว่า 200MP สำหรับ Redmi Note 12 Pro Plus (สีขาว Polar White) และ 50MP สำหรับ Redmi Note 12 Pro (สีฟ้า Sky Blue)


โดยภาพรวมต้องบอกว่ามีดีไซน์ที่ใกล้เคียงกันมาก แต่ฝั่ง Redmi Note 12 Pro Plus 5G จะมีดีไซน์ขอบและฝาหลังที่โค้งมน ในขณะที่ Redmi Note 12 Pro 5G จะมีดีไซน์เหลี่ยมสันกว่า และ ตัวเครื่องเบากับบางกว่า


ถือจับถนัดมือทั้งคู่ แต่ฝั่ง Redmi Note 12 Pro Plus 5G พอถือไปนานๆก็แอบหนักพอตัวเหมือนกัน


ขอบด้านบนมี ช่องหูฟัง 3.5 มม. , ไมโครโฟนตัดเสียงรบกวน , ช่องลำโพง ช่องหนึ่งอยู่ด้านล่าง อีกช่องหนึ่งอยู่ด้านบน และ พอร์ต IR blaster


ในขณะที่ด้านล่าง มี ถาดใส่ซิม, ไมโครโฟนสนทนา , พอร์ต USB Type - C และ ช่องลำโพงที่สอง

ใส่เคสใสที่แถมมาก็ยิ่งดูดีเลย 😁



🟠 Display


ทั้ง 2 รุ่นมาพร้อม หน้าจอ DotDisplay ชนิด Amoled ขนาด 6.67 นิ้ว , ความละเอียด Full HD+ , อัตรา Refresh Rate 120 Hz Adaptive Sync , Touch Sampling Rate 240 Hz , รองรับ DCI-P3, HDR10+, Dolby Vision ความสว่างสูงสุด 1200 nits , ความหนาแน่น 394 PPI ครอบทับด้วยกระจกกันรอย Gorilla Glass 5


นอกจากนี้ยังรองรับ เทคโนโลยีกะพริบหน้า PWM Dimming 1920 Hz ช่วยลดอัตราการกะพริบหน้าจอเมื่อแสงน้อย ลดอาการเมื่อยล้าต่อสายตา และ มาตรฐาน Widevine L1 สามารถดูคอนเทนต์สตรีมมิ่ง HD เต็มรูปแบบ


ตัวหน้าจอมีขอบบางเฉียบ 4 ด้าน ที่ทำให้หน้าจอดูสมจริงยิ่งขึ้น โดยส่วนบนของจอแสดงผลมีรูเจาะสำหรับกล้องเซลฟี่ที่เล็กกว่าแบรนด์อื่นๆ ใช้กลางแจ้งมองเห็นชัด​เจน ให้ความละเอียดสูงและสีสันสวยจัดจ้านอย่างมาก จัดเป็นหน้าจอที่มีความสมบูรณ์ในการแสดงผลอย่างมาก


Hardware & Performance


ทั้งสองรุ่นใช้ชิปเซ็ต MediaTei Dimensity 1080 ประกอบไปด้วย CPU Octa-Core ที่มีประสิทธิภาพสูง มาพร้อมกับคอร์ CPU Arm Cortex-A78 ที่ทำความเร็วได้สูงถึง 2.6 GHz โดยผสานรวมกับหน่วยประมวลผลกราฟิก Arm Mali-G68 เพื่อศักยภาพที่เร็วแรงสำหรับเกมมิ่ง สตรีมมิ่ง และ การท่องเว็บ นอกจากนี้ การออกแบบด้วยเทคโนโลยี 6nm ยังช่วยให้ประหยัดพลังงาน ทำให้อายุแบตเตอรี่ยาวนานยิ่งขึ้น


มี RAM 12 GB และ ROM 256 GB และ รองรับ RAM Expansion 3 GB


ส่วนการทดสอบประสิทธิภาพใช้โปรแกรม​ GeekBench 5.0 ได้ผลทดสอบดังนี้


Redmi Note 12 Pro Plus 5G


Single Core 991 คะแนน
Multi Core 2331 คะแนน


Redmi Note 12 Pro 5G


Single Core 959 คะแนน
Multi Core 2254 คะแนน



🟠 Software


ทำงานภายใต้ระบบปฎิบัติการ Android 12 และ MIUI 14 ใหม่ล่าสุด ที่มีการปรับปรุงครั้งใหญ่จากเวอร์ชั่นก่อน ซึ่งจะมีเทคโนโลยีที่ทำให้สามารถทำงานได้เร็วและมีประสิทธิภาพสูงสุดอยู่ตลอดเวลา​


โดยมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างภายในระบบให้กินพื้นที่หน่วยความจำน้อยลง และย่อขนาดแอปที่ไม่ได้ใช้ในชีวิตประจำวันให้มีขนาดเล็กลง โดยยังคงทำงานได้เหมือนเดิม ซึ่งจะช่วยให้หน่วยความจำเครื่องมีพื้นที่เพิ่มมากขึ้นกว่า 7 GB


พร้อมรองรับการปรับแต่งอีกมากมาย และ ระบบ Widgets รูปแบบใหม่ๆ ในหน้า HomeScreen เช่น ข้อมูลจำนวนก้าวเดิน และ การขยายโฟลเดอร์ขนาดใหญ่ เป็นต้น


🟠 Gaming


ทั้งสองรุ่น มาพร้อมฟีเจอร์ Game Turbo แบบใหม่ สำหรับจัดการทรัพยากรในระบบและการแจ้งเตือนต่างๆไม่ให้รบกวนขณะเล่นเกม


เมื่อทดสอบเล่น PUBG Mobile บนกราฟฟิคสูงสุดที่ HDR และ เฟรมเรทระดับ Ultra พบว่าเล่นได้ลื่นมาก และเครื่องอุ่นๆ​เล็กน้อย อุณหภูมิ​ CPU​ เฉลี่ยอยู่ที่​ 40 - 42°C


ทีเด็ดคือมี Boost Mode เมื่อเปิดแล้วจะสามารถดันเฟรมเรทขึ้นไปได้ถึง 61 fps โดยที่ไม่ร่วงมากด้วย เหวี่ยงๆอยู่แถว 58-60 เฟรมตลอดเกม จัดเป็นอานิสงค์ของระบบ HyperEngine 3.0 ในชิปเซ็ต Dimensity 1080 ซึ่งประมวลผลได้ฉับไว รวมถึงมีการเชื่อมต่อที่ลื่นไหลไม่มีสะดุด พร้อมด้วยหน่วยประมวลผล AI 3.0 (APU 3.0) ของชิปเซ็ตที่ส่งผลให้ประหยัดพลังงานสูงสุด นอกจากนี้ Dimensity 1080 ยังรองรับเครือข่าย Sub-6GHz 5G และการเชื่อมต่อ Wi-Fi 6 เพื่อให้เกมเมอร์เพลิดเพลินกับการเล่นเกมไร้สะดุดไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตามครับ


🟠 ระบบกล้อง


ตรงจุดนี้จะได้รีวิวแยกกันแล้ว เพราะถือเป็นจุดที่ทั้งสองรุ่นแตกต่างกันครับ โดย​ไปเริ่มกันที่

ระบบกล้อง Redmi Note 12 Pro Plus 5G

มาแบบโหดๆ​ ด้วยกล้องหลัง​ 3 ตัว​ ทีที่เลนส์หลักมีความละเอียสูงถึง 200 ล้านพิกเซล​

ประกอบด้วย

กล้องหลัก 200 ล้านพิกเซล
- 1/1.65" sensor size
- f/1.7 , 7P Lens 
   - รองรับ OIS
 
กล้อง Ultra Wide 8 ล้านพิกเซล
   - 1/4" sensor size, 1.12μm pixel size
   - f/2.2 , มุมกว้าง 120°

กล้องมาโคร 2 ล้านพิกเซล
   - 1/5" sensor size, 1.75μm pixel size
   - f/2.4
 
รองรับการถ่ายวิดีโอ 4K@30 fps 

กล้องหน้า 16 ล้านพิกเซล
   - f/2.45 , มุมกว้าง 78°


โดย Redmi Note 12 Pro+ 5G เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกที่ใช้เซ็นเซอร์กล้อง Samsung HMX ความละเอียด 200 ล้านพิกเซล , ขนาด 1/1.4 นิ้ว , 2.24μm แบบ 16-in-1 pixel binning , รองรับ OIS , เลนส์ 7P 

กล้องหลักความละเอียด 200 ล้านพิกเซล ที่ใช้เซ็นเซอร์ ISOCELL HPX ขนาด 1/1.4 นิ้ว (ซึ่งใหญ่กว่า IMX766 1/1.56 นิ้ว มาก) มีค่ารูรับแสง f/1.65 และ ขนาดพิกเซล 2.24 ไมครอน โดยตัวเลนส์ 7P มีการเคลือบด้วยเทคโนโลยี ALD สำหรับลดการสะท้อนของแสงได้ดียิ่งขึ้น

โดยทาง Xiaomi กล่าวว่า รูรับแสงที่เพิ่มขึ้นเป็น f/1.65 จะช่วยเพิ่มปริมาณแสงที่ได้รับอย่างมาก ประการที่สอง คือ โครงสร้างเลนส์ 7P ได้รับการอัปเกรดเพื่อให้ถ่ายภาพได้ชัดเจนยิ่งขึ้น และ การเคลือบป้องกันแสงสะท้อน ALD ระดับไฮเอนด์ ได้ปรับปรุงด้านคุณภาพอย่างมาก

อีกทั้ง Redmi Note 12 Pro+ จะสามารถเลือกความละเอียดในการถ่ายภาพด้วยเลนส์หลักได้ถึง 3 ระดับ คือ 


12.5 ล้านพิกเซล (โหมด Auto)

50 ล้านพิกเซล

200 ล้านพิกเซล

โดยทั้ง 3 ค่า จะเกิดการรวมพิกเซลและเปิดรับแสงที่แตกต่างกันไป

และด้วยเทคโนโลยีเหล่านี้ กล้องของ Redmi Note12 Pro+ จะสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งร่วมกับเซนเซอร์ Samsung HPX ในระดับฮาร์ดแวร์ได้สูงสุด เพื่อให้มั่นใจในคุณภาพของภาพถ่ายที่ได้รับว่าจะอยู่ในระดับแนวหน้าเลยทีเดียว

โดยภาพถ่ายในเวลากลางวันหรือกลางแจ้งทำได้ดี สามารถถ่ายภาพที่มีแดดจ้าของวันได้ โดยยังคงรักษารายละเอียดและความคมชัดไว้อย่างมาก คอนทราสต์ดี ให้สีใกล้เคียงกับสภาพจริงมาก


และเมื่อต้องการถ่ายภาพที่ความละเอียด 200 ล้านพิกเซล ให้เข้าโหมด Ultra HD และ กดเลือก 200MP แล้วลงมือถ่ายกันเลย (ถ้ากดปิด 200MP จะถ่ายที่ความละเอียด 50 MP) ที่ประทับใจสุดคือ Shutter ไม่ Lack ประมวลผลหลังกดถ่ายไวมากแบบไม่ต้องรอ สามารถกดถ่ายต่อเนื่องได้ โดยตัวไฟล์ภาพมีขนาดใหญ่ที่ราวๆ 50 - 60 MB เก็บรายละเอียดได้ดีสุดๆ สามารถนำมา Crop To Zoom ในรายละเอียดเล็กๆได้สบายเลยครับ

ระบบกล้อง Redmi Note 12 Pro 5G


ส่วน Redmi Note 12 Pro 5G มีกล้องหลักเซ็นเซอร์ Sony IMX766 ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล พร้อมรองรับระบบกันสั่น OIS

ประกอบด้วย

กล้องหลัก 50 ล้านพิกเซล
   - 1/1.56" sensor size
   - f/1.8 
   - รองรับ OIS
 
กล้อง Ultra Wide 8 ล้านพิกเซล
   - 1/4" sensor size, 1.12μm pixel size
   - f/2.2 , มุมกว้าง 120°

กล้องมาโคร 2 ล้านพิกเซล
   - 1/5" sensor size, 1.75μm pixel size
   - f/2.4

ในส่วนของกล้อง Ultra Wide ทั้งสองรุ่น ให้มุม FOV ที่กว้างขึ้นถึง 120 องศา แต่มีรายละเอียดของภาพที่สมบูรณ์ น่าประทับใจ

ส่วนการถ่ายภาพ Portrait สามารถเบลอฉากหลังได้อย่างเป็นธรรมชาติ


สำหรับการถ่ายเซลฟี่ ด้วยกล้อง 16 ล้านพิกเซล ให้ภาพที่คมชัด พร้อมรายละเอียดครบถ้วน และลูกเล่นฟิลเตอร์ให้ปรับพอประมาณ


สำหรับวิดีโอ กล้องด้านหลังสามารถบันทึกได้สูงสุด 4K 30fps ในขณะที่กล้องเซลฟี่สามารถบันทึกได้สูงสุด 720p เท่านั้น

🟠 ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้อง Redmi Note 12 Pro Plus 5G


กล้องหลัก



กล้อง Ultra Wide



Portrait Mode


Night Mode



กล้องหน้า




🟠 ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้อง Redmi Note 12 Pro Plus 5G


กล้องหลัก



กล้อง Ultra Wide



Portrait Mode



Night Mode



กล้องหน้า


นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ Film Camera 


ซึ่งจะประกอบไปด้วยฟิลเตอร์คลาสสิคสไตล์กล้องฟิล์มมาให้เล่นในการถ่ายภาพมากมาย


เช่น KC64 , V-250 , H-400 , FC400 , Gourmet , Black & White เป็นต้น 

ตัวอย่างภาพถ่าย Film Camera


🟠 ระบบเสียง


ทั้งสองรุ่นมาพร้อมลำโพงคู่แบบ Stereo  เปิดสะเทือนเลือนลั่น สะใจมาก และยังรองรับระบบ Dolby Atmos ด้วย

🟠 แบตเตอรี่


Redmi Note 12 Pro Plus 5G มีแบตเตอรี่ความจุ 5000 mAh ทีเด็ดอยู่ที่ระบบชาร์จ​ 120W​ HyperCharge 


อัดไม่ยั้ง ชาร์จ 0-100% ใช้เวลา 19 นาที ควบคุมด้วยชิป Surging P1 และยังให้อะแดปเตอร์ชาร์จ GaN 120W มาในกล่องเลยด้วย


ส่วน Redmi Note 12 Pro 5G มีแบตเตอรี่ความจุ : 5000 mAh รองรับ 67W Turbo Charging (ชาร์จ 100% ใน 46 นาที)


🟠 ราคาจำหน่าย


Redmi Note 12 Pro+ 5G และ Redmi Note 12 Pro 5G มีให้เลือก 3 สี ได้แก่ Midnight Black, Polar White และ Sky Blue โดยพร้อมให้ลูกค้าสั่งจองล่วงหน้าในระหว่างวันที่ 29 เมษายน 2566 - 6 พฤษภาคม 2566 ซึ่งลูกค้าที่สั่งจองในช่วงเวลาดังกล่าวจะได้รับกระเป๋าเดินทาง Luggage และ VIP Service Card มูลค่ารวม 6,780 บาท เป็นของสมนาคุณพิเศษ โดยสมาร์ทโฟนทั้ง 2 รุ่นนี้จะวางจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการในวันที่ 7 พฤษภาคม 2566 เป็นต้นไป ที่ Xiaomi Store และร้านตัวแทนจำหน่ายที่ร่วมรายการทั่วประเทศ รวมถึงช่องทางการจัดจำหน่ายทางออนไลน์แพลตฟอร์ม


Redmi Note 12 Pro+ 5G รุ่นความจุ 8GB+256GB วางจำหน่ายในราคา 14,990 บาท


Redmi Note 12 Pro 5G รุ่นความจุ 8GB+256GB วางจำหน่ายในราคา 12,990 บาท


Redmi Note 12 Pro 5G รุ่นความจุ 6GB+128GB วางจำหน่ายในราคา 9,999 บาท โดยวางจำหน่ายเฉพาะที่ผู้ให้บริการเครือข่าย AIS เท่านั้น


🟠 สรุป


นี่คือคู่หูสมาร์ทโฟน Redmi ที่ Xiaomi สร้างขึ้นมาได้อย่างคุ้มค่า ปราณีตแบบสุดๆ ต่างคนต่างก็มีทีเด็ดที่น่าสนใจเป็นของตัวเอง แต่ที่สำคัญคือทั้งสองรุ่นมาพร้อมเทคโนโลยีหน้าจอที่สวยงามคมชัด , ชิปเซ็ตทรงพลังระดับเรือธง , กล้องหลังที่มีคุณภาพสูง และ แบตเตอรี่ขนาดใหญ่พร้อมระบบชาร์จเร็วที่สูงเป็นอันดับต้นๆของตลาดในปัจจุบันแล้วครับ ดังนั้นหยิบจุดไหนมาพูด ก็มีแต่คำว่าคุ้มจริงๆ

Article By : โลกไอทีวันนี้

Comments