FullReview : realme 11 Pro Series 5G ก้าวกระโดดด้วยสเปคระดับเรือธง พร้อมดีไซน์สุดพรีเมี่ยมระดับโลก !!!
realme ประกาศเปิดตัว realme 11 Pro และ 11 Pro+ ในประเทศไทย อย่างเป็นทางการแล้วในวันนี้ โดย realme Number Series นับเป็นหนึ่งในไลน์ผลิตภัณฑ์กลุ่มแรก ที่มียอดจัดส่งถึง 50 ล้านเครื่อง ในอุปกรณ์ Android และถือเป็นตัวแปรหลักที่ส่งผลให้ realme บรรลุเป้าหมายในการขาย 100 ล้านเครื่องได้ในระยะเวลาอันสั้น โดยทั้งสองรุ่นขับเคลื่อนโดยชิปเซ็ต MediaTek Dimensity 7050 และมาพร้อมด้วยดีไซน์ที่สวยหรูหราซึ่งร่วมมือกับดีไซเนอร์ระดับโลก พร้อมด้วยที่ฟีเจอร์น่าสนใจอีกมากมาย ที่เป็นการอัปเกรดแบบก้าวกระโดดอย่างมาก เราลองไปดูกันได้เลยครับ ว่าจะเป็นอย่างไร
Unboxing
ตัวเครื่อง realme 11 Pro Series 5G
Adapter Charge
สาย USB Type-C
เคสใสแบบ TPU
เข็มจิ้มถาดซิมการ์ด
คู่มือการใช้งานเบื้องต้น
ใบรับประกันสินค้า
🟡 สเปค realme 11 Pro และ 11 Pro+
หน้าจอชนิด AMOLED แบบโค้งขนาด 6.7 นิ้ว , ความละเอียด Full HD+ (2412×1080 พิกเซล) พร้อมอัตราการรีเฟรช 120Hz , อัตรา Touch Sampling 360 Hz , อัตราการ instant touch sampling 1260 Hz, การหรี่แสง PWM 2160 Hz , ช่วงสี DCI-P3 100% , ความสว่างสูงสุด 950 nits
CPU : MediaTek Dimensity 7050 6nm Octa Core (2 x 2.6GHz Cortex-A78 + 6 x 2GHz Cortex-A55 CPUs)
GPU : Mali-G68 MC4
RAM : 8 GB / 12 GB
ROM : 256 GB / 512 GB
รองรับ 2 Sim Cards
รองรับ 5G Dual Mode
realme 11 Pro – กล้องหลัง 100 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสง f/1.75 , OIS , กล้องมาโคร 2 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสง f/2.4
realme 11 Pro+ – กล้องหลัง 200 ล้านพิกเซล ขนาด 1/1.4″ เซ็นเซอร์ Samsung HP3, รูรับแสง f/1.69, กล้อง Ultra Wide 8 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสง f/2.2 , กล้อง Macro 2 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสง f/2.4
realme 11 Pro – กล้องหน้า 16 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสง f/2.45
realme 11 Pro+ – กล้องหน้า 32 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสง f/2.45
รองรับระบบสแกนใบหน้า
รองรับระบบสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ
รองรับลำโพงคู่สเตอริโอ + Dolby Atmos และ Hi - Res Audio
รองรับ Wi-Fi 6 802.11ax (2.4GHz + 5GHz), Bluetooth 5.2, Dual-frequency GPS/ GLONASS/ Beidou
พอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type-C
แบตเตอรี่ : 5000 mAh พร้อมระบบชาร์จ 67W (realme 11 Pro) / 100W (realme 11 Pro+)
ระบบปฎิบัติการ : Android 13 + realme UI 4.0
ขนาด : 161.6×73.9×8.2 มม. (สีดำ) / 8.7 มม. (สีเบจและสีเขียว)
น้ำหนัก : 183 กรัม (สีดำ) / 189 กรัม (สีเบจและสีเขียว)
โดยพื้นฐานแล้ว realme 11 Pro Series ทั้งสองรุ่นมีความคล้ายคลึงกันหลายประการ เราจึงขอยกในส่วนที่เหมือนกันมาพูดถึงไปพร้อมๆกันเลยนะครับ
Display
realme 11 Pro Series 5G มีหน้าจอ AMOLED แบบโค้ง ขนาด 6.7 นิ้ว ความโค้งที่ 61° มอบเอฟเฟกต์ภาพแบบไร้ขอบ การยึดเกาะและการควบคุมที่ยอดเยี่ยม ตลอดจนการป้องกันการสัมผัสโดยไม่ได้ตั้งได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หน้าจอครอบทับด้วยกระจกนิรภัย 0.65 มม. สำหรับการป้องกันการตกหล่น ได้ผ่านการทดสอบการตกจากที่สูง 1 เมตร เพื่อให้มั่นใจถึงคุณภาพหน้าจอกระจกนิรภัยได้อย่างเต็มที่
พร้อมเทคโนโลยี COP Ultra ระดับเรือธง ทำให้ขอบด้านล่างบางเพียง 2.33 มม. ดังนั้นจึงมีขอบจอที่บางเป็นพิเศษทำให้มีอัตราส่วนหน้าจอต่อตัวเครื่องสูงถึง 93.65%
มีการหรี่แสงความถี่สูงพิเศษ 2160 Hz PWM การรับรองการป้องกันแสงสีฟ้าของ TUV Rhineland และ การปรับความสว่างอัตโนมัติ 20,000 ระดับ และเทคโนโลยีการปรับแสงพื้นหลังด้วย AI เป็นครั้งแรก
โดยการลดแสงความถี่สูงพิเศษ 2160Hz PWM เมื่อเทียบกับความถี่ 480Hz แบบเดิม ความถี่ในการหรี่แสงจะเพิ่มขึ้น 4.5 เท่า ซึ่งสามารถรักษาความถูกต้องของสีในที่มืดและแก้ปัญหาการสั่นไหวภายใต้ความสว่างต่ำได้
และโดยปกติแล้วยิ่งความถี่ PWM สูงเท่าไหร่ ดวงตาของมนุษย์ก็จะรู้สึกถึงการสั่นไหวได้ยากขึ้นและรู้สึกเหนื่อยล้าน้อยลง ดังนั้น เมื่อความสว่างของหน้าจอลดลงเหลือ 90 nits หรือต่ำกว่า โหมดลดแสง DC ดั้งเดิมจะเปลี่ยนเป็นโหมดลดแสง PWM UHF โดยยังคงแสดงสีที่แม่นยำ ในขณะเดียวกันก็มอบประสบการณ์การมองที่สบายตาให้กับผู้ใช้ ซึ่งเป็นมิตรกับผู้ใช้งานบางคนที่ชอบปิดไฟก่อนเข้านอน
รองรับการปรับความสว่างอัตโนมัติได้ 20,000 ระดับ
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพประสบการณ์แสงพื้นหลังหน้าจอของ realme 11 Pro+ การปรับความสว่างอัตโนมัติ 20,000 ระดับแรกของอุตสาหกรรมจะขยายระดับแสงพื้นหลังดั้งเดิมของหน้าจอให้เหมาะสม
นอกจากนี้ยังรองรับการปรับแสงพื้นหลังด้วย AI โดยระบบเสริมการปรับแสงพื้นหลังส่วนบุคคลได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อแก้ปัญหาที่แสงพื้นหลังที่ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ภายใต้ความสว่างต่ำ โดย AI จะเรียนรู้พฤติกรรมของผู้ใช้ และปรับโทรศัพท์ให้เหมาะกับผู้ใช้ จึงลดจำนวนการปรับด้วยตนเอง
และยังได้รับการรับรองการป้องกันดวงตา 2 ชั้นจาก TÜV Rheinland
สามารถลดความเมื่อยล้าทางสายตาของผู้ใช้จากการกะพริบของหน้าจอได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพิ่มความสบายตาในการใช้งาน ด้วยการรับรองการป้องกันดวงตาจากแสงสีฟ้า
Design
ในแง่ของดีไซน์ realme Studio ร่วมกับ Matteo Menotto (อดีตนักออกแบบลายพิมพ์และสิ่งทอของ GUCCI ) ได้นำการออกแบบและงานฝีมือระดับไฮเอนด์ของแบรนด์หรูชั้นนำมาสู่คนรุ่นใหม่
โดย Matteo Menotto ได้สร้างสรรค์งานพิมพ์ ที่ผสมผสานความสวยงามของแฟชั่นที่หลากหลายในเมืองเข้ากับการออกแบบภายนอกของ realme 11 Pro Series 5G ในตัวเลือก 2 สี ได้แก่ Sunrise Beige , Oasis Green
• Sunrise Beige ซึ่งเป็นสีชูโรง ได้รับแรงบันดาลใจจากถนนในกรุงมิลานยามพระอาทิตย์ขึ้น โดยเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น อาคารบนสองฝั่งถนนที่ทอดยาวจึงถูกปลกคุมด้วยแสงสีเหลืองอ่อน นำมาสู่ความงดงามของฝาหลังของ realme 11 Pro Series 5G
ฝาหลังของ realme 11 Pro Series 5G หุ้มด้วย Premium Lychee Vegan Leather ให้สัมผัสเหมือนหนัง ป้องกันรอยเปื้อน และความทนทาน การออกแบบการเย็บแบบ 3 มิติทำมือ แสดงโครงร่าง 3 มิติและเอฟเฟ็กต์ที่สมจริงมากขึ้น พร้อมด้วยสิ่งทอ 3D Woven Texture ของเสื้อผ้าแฟชั่น แสดงให้เห็นถึงสีสันที่สวยงาม ประณีต และทันสมัย
ส่วนสีเขียว Oasis Green เป็นการผสมผสานระหว่างความรู้สึกของ ตัวเมือง (City) และ ธรรวมชาติ (Nature)
นั่นทำให้ realme 11 Pro Series 5G นำเสนอพื้นผิวและลายพิมพ์ที่ประณีต ออกมาเป็นงานฝีมือชั้นยอด
Hardware & Performance
ทั้งสองรุ่นใช้งานชิปเซ็ต MediTek Dimensity 7050 ที่ผลิตในสถาปัตยกรรมแบบ N6 ของ TSMC ประกอบไปด้วย CPU Octa-Core ที่มีประสิทธิภาพสูงยิ่งขึ้น ซึ่งมาพร้อมกับคอร์ CPU Arm Cortex-A78 ที่ทำความเร็วได้สูงถึง 2.6GHz โดยผสานรวมกับหน่วยประมวลผลกราฟิก Arm Mali-G68 เพื่อศักยภาพที่เร็วแรงสำหรับเกมมิ่ง สตรีมมิ่ง และการท่องเว็บ นอกจากนี้ การออกแบบด้วยเทคโนโลยี 6nm ยังช่วยให้ประหยัดพลังงาน ทำให้อายุแบตเตอรี่ยาวนานยิ่งขึ้น
ด้าน realme 11 Pro+ 5G จะมาพร้อม RAM 12 GB และ ROM 512 GB สามารถทำคะแนนทดสอบ AnTuTu Benchmark V.10 ได้ถึง 564,627 คะแนน
ส่วน realme 11 Pro 5G จะมาพร้อมกับ RAM 8 GB และ ROM 256 GB ซึ่งให้ประสิทธิภาพที่ไม่แตกต่างกัน
Software
realme 11 Pro Series 5G เป็นสมาร์ทโฟนที่มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ realme UI 4.0 บนพื้นฐาน Android 13 ตั้งแต่แกะกล่อง ซึ่งช่วยให้การใช้งานมีความรวดเร็ว ลื่นไหล ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น และ การออกแบบที่ทันสมัยและสมจริงมากขึ้น เช่น
• “realme” icon
การออกแบบไอคอนพื้นผิวและรูปร่างที่แท้จริงของสิ่งต่างๆ จะทำให้สามารถจดจำเนื้อหาของไอคอนได้อย่างรวดเร็ว
• ฟอนต์ที่สบายตา
แบบอักษร Sans ของ realme ที่อัปเกรดใหม่มีเค้าโครงที่ประสานกันมากขึ้นในภาษาจีนและอังกฤษ ขนาดฟอนต์โดยรวมกว้างขึ้นเล็กน้อย และรูปร่างฟอนต์ดูสมบูรณ์ขึ้นและมีเสถียรภาพมากขึ้น เพื่อปรับปรุงการอ่านข้อความของอินเทอร์เฟซให้ง่ายยิ่งขึ้น
และยังมีศูนย์กลางสื่อครบวงจรและโมดูลควบคุมอุปกรณ์ IoT ที่รวมเข้าด้วยกันใหม่ ช่วยให้การแสดงสถานะและการใช้งานในฟังก์ชั่นควบคุมมัลติมีเดีย อุปกรณ์ IoT สะดวกยิ่งขึ้น
ทั้งหมดข้างต้นนั้นคือสิ่งที่ realme 11 Pro Series 5G มีร่วมกัน ทีนี้เรามาพูดถึงในส่วนที่แตกต่างกันบ้าง ซึ่งก็คือ "ระบบกล้อง" ครับ
เริ่มต้นที่ : realme 11 Pro+ 5G
ในฐานะแบรนด์เทคโนโลยีเพื่อคนรุ่นใหม่ realme เชื่อเสมอว่าเป้าหมายสูงสุดของการพัฒนาภาพถ่ายจากสมาร์ตโฟน คือการมอบพลังแห่งการถ่ายภาพแบบมือโปรมาสู่มือคุณ และ realme 11 Pro Series 5G ถือเป็นสมาร์ตโฟนตามมาตรฐานภาพระดับเรือธง ซึ่งต้องการทำให้ผู้ใช้งานทุกคนสามารถเข้าถึงภาพระดับเรือธงได้อย่างทั่วถึง
โดย realme 11 Pro+ 5G มาพร้อมกล้องหลัง 200 ล้านพิกเซล ใช้งานเซ็นเซอร์ Samsung HP3 ที่ใช้เทคโนโลยี multi-focus lossless single-lens zoom โดยสามารถซูมเลนส์เดี่ยวแบบหลายโฟกัสได้ ที่ระยะ 1X-2X-4X และ ซูเปอร์ซูมสูงสุด 20x เพื่อถ่ายภาพดวงจันทร์ มีระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคัล SuperOIS และยังรองรับโหมดดูดาวแบบใช้มือถือด้วย
โดยเซ็นเซอร์ Samsung ISOCELL HP3 SuperZoom ความละเอียดสูงพิเศษ 200 ล้านพิกเซล มีเซ็นเซอร์ขนาดใหญ่ 1/1.4 นิ้ว , รูรับแสงขนาดใหญ่พิเศษ F/1.69 ซึ่งนับเป็นเซ็นเซอร์และรูรับแสงสูงสุดในกลุ่ม แต่ละพิกเซลทำงานในการถ่ายภาพ ทำให้ได้ภาพถ่ายที่ชัดเจนที่สุด
มีเทคโนโลยี Tetra2pixel สามารถรับรู้พิกเซลแบบ 4-in-1 หรือ 16-in-1 เพื่อแปลงโหมด 0.56μm 200MP เป็นโหมด 1.12μm 50MP ที่เหมาะสำหรับสภาพแวดล้อม
ที่มืด หรือ 2.24μm 12.5MP เหมาะสำหรับสภาพแวดล้อมที่มืดที่สุด ทำให้สามารถถ่ายภาพได้อย่างชัดเจนในทุกสภาพแสง
นอกจากนี้ระบบโฟกัสอัตโนมัติยังสามารถตรวจจับความแตกต่างของเฟสแนวนอนและแนวตั้งบนพิกเซลที่อยู่ติดกัน 4 พิกเซลเพื่อการโฟกัสอัตโนมัติที่แม่นยำและรวดเร็วยิ่งขึ้น แม้ในขณะที่จับรายละเอียดของวัตถุที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว แทบไม่มีปัญหาภาพสั่นไหวและภาพเบลอ และยังมีสถาปัตยกรรมการถ่ายภาพ HyperShot Imaging 2.0 ซึ่งมอบประสบการณ์ที่แปลกใหม่ในด้านความเร็วการถ่ายภาพ คุณภาพของภาพ การป้องกันการสั่นไหว และสี แม้ภายใต้สถานการณ์การถ่ายทำอย่างรวดเร็ว
ตัวอย่างภาพถ่าย
กล้องหลัก
กล้อง Ultra Wide
กล้อง Macro
ครั้งแรกในอุตสาหกรรมกับการซูม 4 เท่าโดยไม่สูญเสียรายละเอียด
เทคโนโลยีการซูมในเซ็นเซอร์ของ realme 11 Pro+ 5G ใช้คุณสมบัติพิกเซลสูงเพื่อสลับโหมดเซ็นเซอร์เมื่อทำการซูมเพื่อให้ได้จำนวนพิกเซลจริงเท่ากันในส่วนโฟกัสต่างๆ
• ในโหมด 2× เซ็นเซอร์จะเปลี่ยนเป็นโหมด 4-in-1 50MP ก่อน จากนั้นเลือกโหมด 12.5MP ที่บริเวณตรงกลางจากเซ็นเซอร์เพื่อรับภาพถ่าย 2× 12.5MP
• ในโหมด 4× กล้องจะเปลี่ยนเป็นโหมด 200MP ส่งตรงไปที่เอาต์พุต และเลือกเอาต์พุต 12.5MP ที่บริเวณตรงกลางของเซ็นเซอร์เพื่อรับภาพถ่าย 4× 12.5MP
ทั้งหมดนี้ทำให้ realme 11 Pro+ 5G เป็นสมาร์ตโฟน 5G เครื่องแรกที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีซูมเลนส์เดี่ยวแบบไม่สูญเสียข้อมูล 4 เท่า ซึ่งความละเอียดของการถ่ายภาพด้วยการซูม 4 เท่า นั้นสูงกว่ารุ่น 200MP ของผลิตภัณฑ์ที่คล้ายคลึงกันถึง 242%
ตัวอย่างภาพถ่ายในโหมด Zoom (ระยะ 1x/2x/4x)
โหมด Street Photography 4.0 มาพร้อมกับฟิลเตอร์ Lonely Planet
realme 11 Pro+ 5G มาพร้อมกับฟิลเตอร์ Lonely Planet ซึ่งมีฟิลเตอร์ที่แนะนำได้แก่ Cinematic, Crisp และ Tranquil ซึ่งจะครอบคลุมทางยาวโฟกัสมากขึ้น ให้ภาพถ่ายมีสไตล์มากขึ้น และช่วยให้คุณกลายเป็นช่างภาพแนวสตรีทได้อย่างง่ายดาย
ตัวอย่างภาพถ่าย Street Photography 4.0
Super NightScape
realme 11 Pro+ 5G มาพร้อมกับเซ็นเซอร์ขนาดใหญ่ระดับเรือธง 1/1.4" พร้อมรูรับแสงขนาดใหญ่พิเศษ f/1.69 และพิกเซลเดี่ยว 16-in-1 2.24μm เพื่อจับภาพที่มีสภาพแสงน้อยได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้ยังมาพร้อมอัลกอริธึม ProLight ที่สามารถใช้เพื่อประมวลผลข้อมูลภาพในโดเมน RAW ได้ด้วย
ตัวอย่างภาพถ่าย NightScape
Moon mode
ทางยาวโฟกัสมากกว่า 10 เท่าของ realme 11 Pro+ 5G จะเปิดใช้งานโหมดดวงจันทร์ด้วยอัลกอริทึม AI Scene Recognition ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ realme รองรับโหมดดวงจันทร์
โดยในโหมดดวงจันทร์ realme 11 Pro+ 5G สามารถปรับการเปิดรับแสงอัตโนมัติเป็นความสว่างของแสงดวงจันทร์ และใช้การซูมเลนส์เดี่ยวแบบไม่
สูญเสียรายละเอียดได้ถึง 4 เท่า และอัลกอริทึมหลายเฟรมแบบไฮเปอร์เซกเมนต์เพื่อให้ได้ความชัดเจนของเลนส์เทเลโฟโต้ เพื่อปรับรายละเอียดแม้แสงน้อยและพื้นที่สว่างของพื้นผิวดวงจันทร์ด้วยอัลกอริธึมดวงจันทร์ตามการเรียนรู้เชิงลึกของ Al เพื่อให้สามารถถ่ายภาพดวงจันทร์ที่คมชัดได้อย่างง่ายดาย
ตัวอย่างภาพถ่าย Moon Mode
Handheld starry sky mode
realme 11 Pro+ รองรับ First StarLight Algorithm และเทคโนโลยีSuper OIS ท าให้สามารถถ่ายภาพท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวที่สว่างและชัดเจนผ่านการปรับค่าแสงแบบไดนามิก การลดสัญญาณรบกวนแบบหลายเฟรมของ AI และอัลกอริทึมการจัดต าแหน่งดาว แม้ในบริเวณขอบของเมือง นับเป็นครั้งแรกที่ realme ได้รับการรองรับโหมด Handheld Starry Sky ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถถ่ายภาพท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวโดยไม่ต้องตั้งค่าที่ซับซ้อนของข้อมูลจำเพาะและขาตั้งกล้องขนาดใหญ่
กล้องหน้า 32MP Sony Selfie Camera
ด้วยเลนส์มุมกว้างด้านหน้า 90° ภาพถ่ายหน้าจอเซลฟี่แนวนอนจะขยายช่วงเลนส์โดยอัตโนมัติ และรองรับทิวทัศน์ได้มากขึ้น ช่วยให้สัมผัสประสบการณ์ภาพถ่ายเซลฟี่แบบใหม่ และยังมีอัลกอริทึมการกำจัดฝ้าของ AI ที่อัปเกรดใหม่สามารถรักษาโทนสีผิวที่สม่ำเสมอของเลนส์ด้านหน้าและด้านหลัง ปรับผิวให้สวยงามเทียบเท่ากับผิวเด็ก และให้ความรู้สึกเหมือนผิวจริงมากขึ้น
ตัวอย่างภาพถ่ายกล้องหน้า
ระบบกล้อง realme 11 Pro 5G
ด้าน realme 11 Pro มาพร้อมกับกล้องหลัก 100 ล้านพิกเซล , f/1.75 รองรับ OIS และ เทคโนโลยีซูมในเซ็นเซอร์ 2 เท่า โดยใน realme 11 Pro 5G ใช้พิกเซล 12 ล้านพิกเซลตรงกลางเซ็นเซอร์ 100 ล้านพิกเซลโดยตรง เพื่อถ่ายภาพความละเอียดเต็มรูปแบบของการซูมที่ไม่ใช่ดิจิทัล ผสานกับเทคโนโลยีการสังเคราะห์หลายเฟรมเพื่อให้ได้มาอย่างง่ายดาย
และนอกจากนี้ยังรองรับหลายฟีเจอร์ที่เหมือนกับใน realme 11 Pro+ 5G ประกอบด้วย Super Night Scape , Auto Zoom , Street Photography 4.0 , ฟิลเตอร์ Lonely Planet เป็นต้น โดยจะไม่มีเลนส์ Ultra Wide
ตัวอย่างภาพถ่ายจาก realme 11 Pro 5G
Gaming
สำหรับประสบการณ์ในการเล่นเกมส์ด้วย realme 11 Pro Series 5G นั้นพบว่าทำได้ค่อนข้างดีมาก
จากการทดสอบด้วย PUBG Mobile นั้นสามารถปรับกราฟฟิคเกมส์ได้ในระดับ HDE และเฟรมเรทระดับ Ultra โดยสามารถเล่นได้ต่อเนื่องโดยที่ไม่มีอาการกระตุก เครื่องไม่ร้อน เพราะมีระบบระบายความร้อน Copper Liquid Cooling System ในตัว
พร้อมด้วยการสนับสนุนจากระบบ Game Space ซึ่งช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพให้เหมาะสำหรับการเล่นเกมอย่างแท้จริง และช่วยให้การเรียกใช้งานแอพพลิเคชั่นได้รวดเร็วยิ่งขึ้น อีกทั้งยังมี โหมดห้ามรบกวน เพื่อช่วยปฏิเสธสายเรียกเข้า และการแจ้งเตือนอื่นๆไม่ให้รบกวนในระหว่างเล่นเกม , ล็อกความสว่างของหน้าจอ โดยจะปิดใช้งานการปรับความสว่างอัตโนมัติ เพื่อให้ประสบการณ์การเล่นเกมที่ไหลลื่นยิ่งขึ้น
อีกทั้ง ชุดเพิ่มประสิทธิภาพการเล่นเกม HyperEngine 3.0 ในชิป Dimensity 7050 ยังประมวลผลได้ฉับไว รวมถึงมีการเชื่อมต่อที่ลื่นไหลไม่มีสะดุด พร้อมด้วยหน่วยประมวลผล AI 3.0 (APU 3.0) ของชิปเซ็ตที่ส่งผลให้ประหยัดพลังงานสูงสุด นอกจากนี้ Dimensity 7050 ยังรองรับเครือข่าย Sub-6GHz 5G และการเชื่อมต่อ Wi-Fi 6 เพื่อให้เกมเมอร์เพลิดเพลินกับการเล่นเกมไร้สะดุดไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม
อีกทั้งยังมีโหมด 1260 Hz turbocharged touch sampling เพื่อเพิ่มความเร็วในการตอบสนองสัมผัสให้ไวขึ้นกว่าเดิม เพื่อคว้าโอกาสและนำหน้าคู่แข่งหนึ่งก้าวในเกม ด้วยความละเอียดในการสัมผัสเพิ่มขึ้น 16 เท่า ซึ่งสูงสุดในอุตสาหกรรม สามารถตรวจจับตำแหน่งนิ้วของผู้ใช้ได้อย่างรวดเร็ว
และสุดท้ายทั้งสองรุ่นยังมาพร้อมกับ ลำโพงคู่แบบ Stereo พร้อมระบบเสียง Dolby Atmos และ Hi Res Two-factor Authentication สามารถให้เอฟเฟกต์เสียงที่ยอดเยี่ยมเมื่อรับชมภาพยนตร์ , ฟังเพลง หรือ เล่นเกมส์
แบตเตอรี่
ทั้งสองรุ่นบรรจุแบตเตอรี่ขนาด 5000 mAh
โดย realme 11 Pro รองรับการชาร์จเร็ว 67W ที่มีเทคโนโลยีปั๊มชาร์จคู่ ด้วยนวัตกรรมปั๊มชาร์จคู่ 2:1 ให้ประสิทธิภาพการแปลงระหว่างปั๊มชาร์จพ่วงสูงถึง 98% สามารถชาร์จแบตเตอรี่ 0-100% ได้ใน 47 นาที และชาร์ตแบตเตอรี่ได้ 50% ในเวลา 18 นาที 21 วินาที
และ realme 11 Pro+ รองรับการชาร์จเร็ว GaN 100W Flash Charge และ มีชิปจัดการพลังงาน SUPERVOOC S ในตัว สามารถชาร์จแบตเตอรี่ 0 - 100% ได้ในเวลาเพียง 26 นาที และ 17% ภายใน 3 นาที โดยสุขภาพแบตเตอรี่ที่ติดตั้งใน realme 11 Pro+ 5G ยังคงมีความจุมากกว่า
80% หลังจากชาร์จและคายประจุครบ 1,600 รอบภายใต้สภาวะการชาร์จเร็ว ซึ่งเกินระดับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมในปัจจุบันอย่างมาก
และทั้งสองรุ่น ยังมีมาตรการความปลอดภัย 38 ข้อ เพื่อความปลอดภัยของการชาร์จ พลังงานสูงจากเครื่องชาร์จ ไม่ว่าจะเป็นสายเคเบิลข้อมูล พอร์ตชาร์จโทรศัพท์มือถือไปยังเซลล์แบตเตอรี่ วงจรตรวจสอบความปลอดภัยหลายวงจรสามารถตัดไฟได้โดยตรงในกรณีที่เกิดความผิดปกติ การออกแบบที่ทนไฟของ PS3 และวัสดุ V-0 เกรดทนไฟที่เป็นพลาสติกสูงที่สุดในอุตสาหกรรมถูกนำมาใช้เพื่อสร้างเกราะป้องกันที่กันไฟสำหรับโทรศัพท์ทั้งเครื่อง
ราคาและการวางจำหน่าย
realme 11 Pro+ 5G (รุ่น RAM 12 GB/ROM 512 GB) มีให้เลือกทั้งหมด 2 สี ได้แก่ Sunrise Beige และ Oasis Green มีราคาอยู่ที่ 16,999 บาท
ช่องทางการสั่งซื้อ : https://bit.ly/3p8Pwny
realme 11 Pro 5G (รุ่น RAM 8 GB/ROM 256 GB) มีให้เลือกทั้งหมด 2 สี ได้แก่ Sunrise Beige และ Astral Black มีราคาอยู่ที่ 12,999 บาท
ช่องทางการสั่งซื้อ : https://bit.ly/43uUSsh
relame 11 Pro Series 5G เปิดพรีออเดอร์ตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน ถึงวันที่ 6 กรกฎาคม 2566 ผ่านช่องทาง realme Brand Shop และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ โดยสามารถสั่งจองได้ในราคาเพียง 500 บาท
พิเศษ สำหรับช่วงพรีออเดอร์รับของแถมฟรี! มูลค่า 9,999 บาท และรับส่วนลดเพิ่มเติมตามแต่ละช่องทาง หรือสามารถเป็นเจ้าของได้พร้อมกันตั้งแต่วันที่ 7 กรกฏาคมเป็นต้นไป โดยรับฟรี realme Gift Box มูลค่า 1,999 บาท
นอกจากนี้ ยังสามารถเป็นเจ้าของได้ผ่านช่องทาง Lazada โดยหากพรีออเดอร์ตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน จนถึง 6 กรกฏาคม จะได้รับคูปองส่วนลดเพิ่มไปอีก 1,000 บาท (เหลือเพียง 15,999 บาท เท่านั้น) สำหรับ realme 11 Pro+ 5G หรือได้รับคูปองส่วนลด 1,000 บาท สำหรับ realme 11 Pro 5G (เหลือเพียง 11,999 บาทเท่านั้น)
ราคาติดโปรโมชั่นเครือข่าย AIS , DTAC และ TrueMove H
สรุป
realme 11 Pro Series 5G คือการก้าวกระโดดทางเทคโนโลยีครั้งสำคัญของ realme Numbers Series ในการเทียบเคียงกับสเปคระดับเรือธงในราคาที่ทุกคนสามารถจับต้องได้ ไม่ว่าจะเป็น หน้าจอ หรือ ระบบกล้อง ในระดับ Pro และ ดีไซน์ตัวเครื่องที่ร่วมมือกับดีไซน์เนอร์คนสำคัญระดับโลก จนให้ความหรูหราเกินคำบรรยาย บอกได้เลยว่าคุ้มสุดๆจริงๆครับ
Article By : โลกไอทีวันนี้
Comments
Post a Comment