โลกไอทีวันนี้ (World IT Today)

ครั้งแรกในไทย !!!! vivo จัดงาน BlueTalk แนะนำ vivo X300 Series ให้รู้จักกันแบบใกล้ชิด ก่อนเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 27 พฤศจิกายน นี้ !!!!


🔵 ไฮไลท์สำคัญที่มีการแนะนำในงาน

▫️ กล้องหลัก Sony LYT-828 ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล (ขนาดเซนเซอร์ 1/1.28 นิ้ว)
▫️ กล้องเทเลโฟโต้ Samsung Periscope ความละเอียด 200 ล้านพิกเซล
▫️ ชิปประมวลผลภาพถ่าย VS1 และ V3+
▫️ เอฟเฟกต์ภาพ AI แบบใหม่

🔵 คุณสมบัติ VDO ใหม่ที่แนะนำในงาน

🔹 Hybrid Frame-HDR 
🔹 100dB+ High Dynamic Range 
🔹 Gimbal-level anti-shake
🔹 4K Movie Portrait 
🔹 4K 60FPS 10-bit Log at all focal lengths
🔹 Dolby Vision 4K 120FPS cinematic slow motion
🔹 120FPS Dual-track EIS image stabilization
🔹 Supports ultra-high buffered frames
🔹 Multi-focal length Dolby Vision
🔹 4K 120FPS 10-bit Log
🔹 4K 120FPS Dolby Vision video editing in CapCut

🔥👉 vivo กำลังทำให้สมาร์ทโฟนรุ่นนี้ยกระดับการถ่ายภาพไปอีกขั้น !!!


โดยในครั้งนี้ vivo X300 Pro ได้พัฒนาเลนส์เทเลโฟโต้ 200 ล้านพิกเซล เซนเซอร์ ISOCELL HPB ที่ได้รับการปรับแต่งอย่างพิถีพิถันเป็นพิเศษ นับเป็นเลนส์เทเลโฟโต้ 200 ล้านพิกเซล รุ่นที่สี่ ที่ผลิตขึ้นภายใต้นวัตกรรมของ vivo จาก X100 Ultra สู่ X200 Pro, X200 Ultra สู่ X300 Pro ในปัจจุบัน เลนส์นี้ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนก้าวข้ามขีดจำกัด

ซึ่งเลนส์เทเลโฟโต้ ZEISS 200 ล้านพิกเซล APO รุ่นใหม่ล่าสุดที่ได้รับการปรับแต่งอย่างล้ำลึกและพิเศษเฉพาะนี้ มาพร้อมความก้าวหน้าสำคัญ 4 ประการ ทำให้ X300 Pro กลายเป็น "ราชาแห่งเทเลโฟโต้ตัวใหม่"


มีความเสถียรมากขึ้น ระดับการป้องกันภาพสั่นไหวแบบเทเลโฟโต้เป็นระดับสูงสุดในอุตสาหกรรม การรับรองการป้องกันภาพสั่นไหว CIPA 5.5 มีความเสถียรอย่างยิ่ง! 


ใช้ชุดเลนส์ 1G+5P ที่มีการออกแบบชิ้นเลนส์ใหม่ เคลือบฟลูออไรด์ (FCD100) อีกทั้งการปรับแต่งอย่างละเอียด และการพัฒนากลไกการติดตามโฟกัสพิเศษทำให้การบันทึกภาพเคลื่อนไหวระยะไกลพิเศษทำได้ดียิ่งขึ้น

มีอัลกอริทึมพิเศษเฉพาะ ที่เพิ่มประสิทธิภาพพื้นฐาน ทำให้ได้เอฟเฟกต์เทเลโฟโต้ที่ไกลและชัดเจนยิ่งขึ้น


โปร่งใสยิ่งขึ้น ด้วยการเคลือบ ZEISS T* Coating ช่วยให้กระจกเลนส์มีความบริสุทธิ์มากขึ้น ได้รับการรับรอง APO เฉพาะ มีความแตกต่างของสีที่น้อยลงด้วยเลนส์แก้วฟลูออไรต์ 


โดยเซ็นเซอร์ ISOCELL HPB ออกแบบรองรับ ZEISS APO, VCS ขนาดพิกเซลใหญ่ขึ้น 12% (0.56 um), ขนาด 1/1.4 นิ้ว


ส่วน vivo X300 มาพร้อมกล้องหลัก 200MP เซ็นเซอร์ Samsung HPB ขนาด 1/1.4 นิ้ว, กล้องอัลตร้าไวด์ 50MP และกล้องเทเลโฟโต้ Periscope LYT602 ขนาด 1/1.95 นิ้ว ความละเอียด 50MP พร้อมเทเลมาโคร  

และ vivo X300 Pro เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกที่ใช้เซ็นเซอร์กล้องหลัก 50 ล้านพิกเซล ใช้ Sony LYT 828 (1/1.28", OIS) ปรับปรุงจาก LYT 818 ที่ใช้ใน X200 Pro/Ultra  มีกล้องอัลตร้าไวด์ 50MP 

อีกทั้งยังมีการปรับแต่งอย่างละเอียด และการพัฒนากลไกการติดตามโฟกัสพิเศษทำให้การบันทึกภาพเคลื่อนไหวระยะไกลพิเศษทำได้ดียิ่งขึ้น

มีอัลกอริทึมพิเศษเฉพาะ ที่เพิ่มประสิทธิภาพพื้นฐาน ทำให้ได้เอฟเฟกต์เทเลโฟโต้ที่ไกลและชัดเจนยิ่งขึ้น


โดยที่ทั้งสองรุ่นนี้มีกล้องหน้าความละเอียด 50MP และยังใช้ชิปประมวลผลภาพ V3+ นอกจากนี้รุ่น Pro ยังมีชิป VS1 เพิ่มเติมอีกด้วย


และในครั้งนี้ ทั้งสองรุ่นยังรองรับชุดเลนส์เสริมเทเลคอนเวอร์เตอร์ ZEISS 2.35 เท่า พร้อมนำมาวางจำหน่ายในไทยด้วย


นอกจากนี้เตรียมตัวพบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ด้านซอฟแวร์ โดย vivo ได้ประกาศนำ OriginOS 6 ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการ (UI) ตัวใหม่ล่าสุด มาใช้กับสมาร์ทโฟน vivo ทั่วโลกอย่างเป็นทางการ โดยจะเข้ามาแทนที่ FuntouchOS ที่เคยถูกวิจารณ์ว่ามีรูปลักษณ์ที่ดูเก่า 

🚀 ประสิทธิภาพและการทำงานที่รวดเร็วกว่า

vivo เน้นการปรับปรุงโครงสร้างเพื่อความลื่นไหลสูงสุด และสัญญาว่าจะมอบประสบการณ์การใช้งานที่ "ลื่นเหมือนใหม่" ไปอีก 5 ปีสำหรับรุ่นเรือธง ด้วยคุณสมบัติดังต่อไปนี้

Ultra-Core Computing : จัดสรรทรัพยากรอย่างชาญฉลาด ทำให้แอปพลิเคชันเปิดได้เร็วขึ้นสูงสุด 18.5% และเฟรมเรตคงที่ขึ้น 10.5%


Memory Fusion : เร่งความเร็วในการโหลด โดยเฉพาะเมื่อมีการใช้งานหนัก (เช่น อัลบั้มรูปภาพขนาดใหญ่) และสามารถเก็บแอปไว้ในเบื้องหลังได้สูงสุด 47 แอป


Dual Rendering Architecture : เพิ่มประสิทธิภาพการเรนเดอร์แอนิเมชันสูงสุด 35%

✨ รูปลักษณ์ใหม่และประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดียิ่งขึ้น

OriginOS 6 มาพร้อมกับรูปลักษณ์ที่ทันสมัยขึ้นมาก พร้อมเอฟเฟกต์ภาพและแอนิเมชันที่สวยงามดังนี้

Origin Island : ฟีเจอร์ยอดฮิตที่มีลักษณะเป็น "เมฆสีดำไดนามิก" รอบกล้องหน้า ซึ่งจะแสดงข้อมูลสถานะตามบริบท (เช่น นาฬิกา, เครื่องเล่นเพลง) และสามารถเป็นพื้นที่ให้ผู้ใช้ Drag-and-Drop ในสถานการณ์ต่าง ๆได้

Gradient Blur : เอฟเฟกต์เบลอแบบไล่ระดับใหม่ในส่วนต่างๆ เช่น Notification Shade/Control Center

Flip Cards : ฟีเจอร์ Lockscreen ที่ให้คุณเลือกรูปภาพได้สูงสุด 4 รูป และโทรศัพท์จะสลับภาพไปมาเมื่อคุณเอียงเครื่อง

ดีไซน์ใหม่ : ปรับปรุงเมนูการตั้งค่า, แถบแจ้งเตือน, ฟอนต์แบบกำหนดเอง, และไอคอนที่ออกแบบใหม่กว่า 2,800 รายการ

🧠 ฟีเจอร์ AI และการเชื่อมต่ออัจฉริยะ

ระบบ Origin OS 6 อัดแน่นไปด้วยเครื่องมือ AI ที่ช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้น ได้แก่

เครื่องมือเขียน AI (AI Writing Tool) : ช่วยในการพิสูจน์อักษร สรุปเนื้อหา และแก้ปัญหา Writer's Block

AI Captions : ระบบแปลงเสียงเป็นข้อความ การถอดเสียง และการแปลแบบเรียลไทม์

 
vivo Connection Center : ศูนย์กลางการเชื่อมต่อที่รวมฟังก์ชันต่างๆ เช่น Link to PC (การมิเรอร์หน้าจอ, ถ่ายโอนไฟล์) และการถ่ายโอนข้อมูลไปยังอุปกรณ์อื่น ๆ แม้แต่ iPhone (ผ่านแอป EasyShare)

🔒 ความเป็นส่วนตัวและแบตเตอรี่

Private Space : พื้นที่ส่วนตัวสำหรับเก็บข้อมูลสำคัญให้ห่างจากสายตาผู้อื่น และรองรับการใช้งานแอปโซเชียลเดียวกัน 2 บัญชี (App Cloning)

ประสิทธิภาพแบตเตอรี่ : มีการอ้างว่าช่วยลดการใช้พลังงานของแอปในเบื้องหลัง และเพิ่มประสิทธิภาพของ CPU 10-20% ซึ่งอาจช่วยยืดอายุแบตเตอรี่ได้ถึง 30 นาที

สรุปแล้วการแทนที่ FuntouchOS ด้วย OriginOS 6 ทั่วโลกถือเป็นก้าวสำคัญของ vivo ที่จะยกระดับประสบการณ์ผู้ใช้ให้ทันสมัย ลื่นไหล และเต็มไปด้วยฟีเจอร์ AI ที่เป็นประโยชน์อย่างแท้จริงครับ

ส่วนรายละเอียดอื่นๆ รอติดตามกันได้เต็มๆในวันที่ 27 พฤศจิกายน นี้ครับ 😁

Article By : โลกไอทีวันนี้ 
โลกไอทีวันนี้

อัพเดทข่าวสารวงการไอทีแบบรวดเร็วทันใจ ช่องทางอื่นๆ www.facebook.com/worldittoday

Post a Comment (0)
Previous Post Next Post