#เทียบสเปคต่อสเปค Samsung Galaxy Note 10+ vs Apple iPhone 11 Pro Max สองราชาแห่งวงการสมาร์ทโฟนปี 2019 !!!



โพสนี้เป็นการนำข้อมูลของสองสมาร์ทโฟนเรือธงแห่งปี 2019 ที่ต่างก็เป็นตัวท๊อปของค่ายอย่าง Samsung Galaxy Note 10+ และ Apple iPhone 11 Pro Max มาเปรียบเทียบให้ดูกันในแต่ละแง่มุมว่าเป็นเช่นไร ใครมีจุดไหนที่โดดเด่นกว่ากันครับ

ในภาพรวมเมื่อแรกเห็น

iPhone 11 Pro ของ Apple ไม่ได้เป็นการอัพเกรดที่น่าทึ่งไปกว่าของเดิมอย่าง iPhone XS และ Max แต่มีการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆ ให้เพียงพอและการปรับปรุงรายละเอียดบางประการให้เทียบเท่ากับสมาร์ทโฟนในท้องตลาดปัจจุบัน

ในขณะที่ Samsung Galaxy Note 10+ นั้นเรียกได้ว่าเป็นการปฎิวัติอุตสาหกรรมสมาร์ทโฟนครั้งใหญ่ ด้วยฟีเจอร์ปากกา S - Pen ที่เพิ่มนวัตกรรมการใช้งานที่แสนสะดวกให้แก่ผู้ใช้ และการออกแบบใหม่ที่สวยงามกว่าที่เคย


#ข้อมูลจำเพาะและคุณสมบัติ ของ Samsung Galaxy Note 10+ vs. Apple iPhone 11 Pro Max ก่อนการเปรียบเทียบ


Samsung Galaxy Note 10+ (รหัส SM - N975F)




หน้าจอชนิด Dynamic Amoled แบบ Cinematic Infinity O Display ขนาด 6.8 นิ้ว , ความละเอียด Quad HD+ , รองรับ HDR10+ , รองรับ Always On Display , ครอบทับด้วยกระจกกันรอย Gorilla Glass 6

CPU : Samsung Exynos 9825 , 7 นาโนเมตร , Octa Core

GPU : Mali - G76MP12

RAM : 12 GB ชนิด​ LPDDR4X 

ROM : 256 GB/512 GB ชนิด UFS 3.0

รองรับ 2 Sim Cards 

รองรับ 4G Cat.20 + Dual VoLTE

รองรับ Micro SD Card สูงสุด 1 TB

กล้องหลัง 3 ตัว(Triple Camera) แบบ Dual Pixel ความละเอียด 12 + 16 + 12 ล้านพิกเซล , f/1.5 - f/2.4 และ f/2.2 + f/2.1 , รองรับ OIS , HDR10+ , Ultra Wide Lens 123 องศา , TelePhoto 2 เท่า และ 3D ToF Camera

กล้องหน้าแบบ Dual Pixel ความละเอียด 10 ล้านพิกเซล , f/2.2 , Auto Focus , HDR10+ และ Display Flash 

รองรับระบบสแกนนิ้วมือใต้หน้าจอแบบ Ultra Sonic

รองรับระบบสแกนใบหน้า

รองรับการกันน้ำกันฝุ่นมาตราฐาน IP68

รองรับระบบระบายความร้อนแบบ​ Vapor Chamber 

รองรับปากกา S - Pen , แรงกด 4,096 ระดับ , IP68 , รองรับระบบ Motion Gesture Control

รองรับ Bluetooth 5.0

รองรับ NFC/Samsung PAY

รองรับลำโพงคู่แบบ Stereo (Sound by AKG)

รองรับระบบเสียง Dolby Atmos 

รองรับ Mic 3 ตัว + Zoom Audio 

*ไม่รองรับช่องหูฟัง 3.5 mm.

พอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type - C

แบตเตอรี่ความจุ : 4300 mAh , รองรับ 45W Fast Charging และ Fast Wireless Charging 2.0

รองรับ Reverse Charging (PowerShare)

ระบบปฎิบัติการ : Android 9.0 Pie + One UI 

สี​ : Aura Glow, Black และ​ White


-------------------------------------------

สเปค iPhone 11 Pro Max



หน้าจอ OLED ขนาด 6.5 นิ้ว , ความละเอียด 2688 × 1242 พิกเซล , รองรับ HDR , รองรับ Haptic Touch

ชิปเซ็ต Apple A13

RAM : 4 GB

Storage : 128 GB/256 GB/512 GB

กล้องหลังสามตัว (Triple Camera) ความละเอียด 12 + 12 + 12 ล้านพิกเซล , รองรับ Optical Zoom 2 เท่า , รองรับ Ultra Wide Angel 120 องศา , OIS 

กล้องหน้าความละเอียด 12 ล้านพิกเซล

รองรับระบบ Face ID

รองรับ WiFi 6

รองรับระบบเสียง Dolby Atmos 

รองรับ Water Resistant

แบตเตอรี่ : 3500 mAh + 18W Fast Charging

รองรับ Bilateral Wireless Charging (Reverse Wireless Charging)


#เปรียบเทียบ

#การออกแบบ 




มิติตัวเครื่อง Samsung Galaxy Note 10+


162.3 x 77.2 x 7.9 mm

น้ำหนัก : 196 กรัม


มิติตัวเครื่อง Apple iPhone 11 Pro Max


158 x 77.7 x 8.1 mm

น้ำหนัก : 226 กรัม


iPhone 11 Pro Max กับ Galaxy Note 10+ : การออกแบบ




นับเป็นเวลาสองปีแล้วที่ Apple เปิดตัว iPhone X ที่ละทิ้งปุ่มโฮมและนำการออกแบบใหม่ทั้งหมดสำหรับ iPhone  แม้ว่าในปีนี้ iPhone 11 Pro Max จะนำเสนอแนวคิดใหม่ๆ เช่น โมดูลกล้องสี่เหลี่ยมและวัสดุฝาหลังแบบแก้วหลอมขึ้นรูป  แต่เมื่อหันมาดูข้างหน้าแล้วกลับไม่พบความแตกต่างใดๆเลยกับ iPhone X และ XS Series

iPhone 11 Pro Max มีหน้าตาด้านหน้าที่เหมือนกับ XS Max  ด้วยหน้าจอบากขนาดใหญ่ มีขนาดตัวเครื่องที่สั้นกว่า , หนากว่า และ หนักกว่า Galaxy Note 10+ เล็กน้อย แต่โดยทั่วไปก็คือความกว้างเท่ากัน

ส่วน Samsung ได้ทำสิ่งมหัศจรรย์กับการออกแบบ จนสามารถทำ Galaxy Note 10+ ที่มีหน้าจอ , แบตเตอรี่ใหญ่กว่า iPhone 11 Pro Max แต่มีน้ำหนักเบากว่าถึง 30 กรัม อีกทั้งด้านหลังยังมีการใช้กระจกกันรอย Gorilla Glass 5 ที่มีการไล่เฉดสีแบบใหม่ ที่เรียกว่าสี Aura ซึ่งสะท้อนความโดดเด่นออกมาได้อย่างสวยงาม

  
หน้าจอแสดงผล




ในขณะที่ Samsung ได้เปิดตัวดีไซน์ใหม่ที่น่าทึ่งด้วย Galaxy Note 10+  ขอบด้านบนและด้านล่างนั้นบางลงอย่างมาก ด้วยหน้าจอจะมีรูเล็กๆที่ด้านบน ซึ่งเรียกว่า Infinity O Display 

อัตราส่วนหน้าจอต่อตัวเครื่อง(Screen To Body Ratio) ที่ไม่มีใครเทียบของ Samsung ดึงดูดสายตามากกว่า ด้วยความแตกต่างของขนาดหน้าจอที่เต็มตาแบบไร้ขอบอย่างชัดเจน ซึ่ง Samsung Galaxy Note 10+ ทำได้ถึง 90.5%

และที่สำคัญคือฝั่ง Samsung นั้นใช้หน้าจอแบบ Dynamic Amoled ซึ่งมีความละเอียดสูงสุดที่ Quad HD+ (1440 x 3040 พิกเซล) ในขณะที่ฝั่ง Apple นั้นมีหน้าจอ OLED เช่นเดียวกัน แต่มีความละเอียดสูงสุดที่ 2688 × 1242 พิกเซล

ทำให้โดยรวม Samsung จะทำงานได้ดีกว่า การใช้พิกเซลมากกว่า Note 10+  ไม่เพียงควบคุมอุณหภูมิสีได้อย่างแม่นยำ แต่ยังสามารถปรับความละเอียดจาก Quad HD+ เป็น Full HD+ ได้อีกด้วย จึงนับเป็นข้อได้เปรียบด้วยขนาดจอที่ใหญ่กว่าและรายละเอียดทางเทคนิคที่มากกว่า ฝั่งของ iPhone 11 Pro Max 

ระบบกล้อง

Samsung Galaxy Note 10+




กล้องหลัง 4 ตัว(Triple Camera)


Primary Lens แบบ Dual Pixel ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล , f/1.5 - f/2.4 (27 mm.)

Ultra Wide Angle Lens ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล , มุมกว้าง 123 องศา , f/2.2 (12 mm.)

TelePhoto Lens ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล , รองรับ Optical Zoom 2 เท่า , รองรับ OIS , f/2.1 (52 mm.)

กล้อง 3D Depth Vision ความละเอียด VGA 

กล้องหน้าแบบ Dual Pixel ความละเอียด 10 ล้านพิกเซล , f/2.2 , Auto Focus , HDR10+ และ Display Flash 


iPhone 11 Pro Max 




กล้องหลัง 3 ตัว (Triple Camera) 

Primary Lens ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล , f/1.8

Ultra Wide Lens ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล , f/2.4 , มุมกว้าง 120 องศา

TelePhoto Lens ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล , f.2.0 , รองรับ OIS 

กล้องหน้าความละเอียด 12 ล้านพิกเซล


แม้ว่าฟังดูเหมือนระบบกล้องจะคล้ายกันในทั้งสองรุ่น แต่วิธีการทำงานก็ไม่ได้เหมือนกัน ทาง Apple ให้ความสำคัญกับเลนส์มุมกว้างเป็นพิเศษ และการถ่ายพร้อมกันทั้ง 4 เลนส์ได้ (รวมกล้องหน้า) เพื่อให้คุณสามารถเลือกภาพที่คุณชอบที่สุด นอกจากนี้ยังมีโหมดกลางคืนใหม่เพิ่มเข้ามา

แต่เมื่อเทียบกันแล้ว Samsung จะโดดเด่นกว่าในแง่ของคุณสมบัติแปลกใหม่มากมาย เช่น AR Doodle ที่รองรับการถ่ายภาพนิ่งหรือวิดีโอพร้อมวาดภาพ 3D AR แทรกไปด้วย  , Live Focus Video ที่ถ่ายวิดีโอหน้าชัดหลังเบลอ , Super Steady Cam กับระบบป้องกันผ่านสั่นไหวขั้นเทพ , Zoom in Mic กับการซูมเสียงเวลาถ่ายวิดีโอระยะไกลได้ และ Night Mode ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่

ส่วนคุณภาพของรูปถ่ายที่ได้ตรงจุดนี้คงต้องขึ้นกับความชอบของแต่ละบุคคลครับ


iPhone 11 Pro Max เทียบกับ Galaxy Note 10+ : Stylus




เหตุผลของการเป็นสมาร์ทโฟนที่มีชื่อว่า Samsung Galaxy Note 10 นั้นคือ S Pen ในตัว ไม่เพียง แต่ S Pen จะจดบันทึกทุกสิ่งบนหน้าจอคุณ แต่มันยังสามารถใช้เพื่อวาดภาพในอากาศด้วยฟีเจอร์ AR Doodles และใช้เป็นรีโมทสำหรับกล้องถ่ายภาพ , เครื่องเล่นเพลงและแอพอื่นๆ ผ่านการควบคุมแบบ Gesture Control 

ในทางกลับกัน iPhone 11 Pro Max จะยังต้องใช้นิ้วมือทำทุกอย่าง

สั้นๆง่ายๆและได้ใจความ ผู้ชนะในโจทย์นี้คือ Samsung Galaxy Note 10+ แบบเหนือๆ


iPhone 11 Pro Max เทียบกับ Galaxy Note 10+ : Biometrics




เช่นเดียวกับ XS ที่มาก่อนหน้านี้ iPhone 11 Pro Max ใช้ Face ID ที่เป็นคุณลักษณะความปลอดภัยทางชีวภาพเท่านั้น  แต่ Samsung ติดกับเซ็นเซอร์ลายนิ้วมือแบบใต้หน้าจอ ชนิด UltraSonic ที่ปลอดภัยและรวดเร็วกว่าแบบ Optical และยังมีตัวเลือกเป็นระบบสแกนใบหน้า (แบบ 2 มิติ) มาให้ด้วย ทำให้มีทางเลือกในการใช้งานที่หลากหลายมากกว่า


iPhone 11 Pro Max กับ Galaxy Note 10+: สี




ทั้ง 2 รุ่นมี 4 สีให้เลือก โดย iPhone 11 Pro มี Space Grey, Silver, Gold และสีเขียวเข้มใหม่ที่เรียกว่า Midnight Green  




ส่วน Galaxy Note 10+ มี Aura Black, Aura White, Aura Blue และ Aura Glow ใหม่ ที่มีการเปลี่ยนแปลงสีตามลักษณะของแสงที่ส่องตกกระทบเข้ามา เรารู้ว่าคุณน่าจะใส่เคสไว้ไม่ว่าคุณจะซื้อรุ่นใด แต่เรากล้าพูดว่าไม่สามารถละสายตาจาก Galaxy Note 10+ ได้จริงๆ โดยเฉพาะสี Aura Glow 

ผู้ชนะ : Galaxy Note 10+


iPhone 11 Pro Max กับ Galaxy Note 10+ : แบตเตอรี่ / การชาร์จ




Samsung Galaxy Note 10+ : แบตเตอรี่ 4300 mAh

iPhone 11 Pro Max : แบตเตอรี่ 3500 mAh

ทั้ง 2 รุ่นมาพร้อมกับระบบ Fast Charge แต่ Galaxy Note 10+ มีไพ่เด็ดที่ iPhone 11 Pro Max (18W Fast Charge) ต้องหลีกทาง นั่นคือการชาร์จเร็วแบบ Super Fast Charging 45W นั่นอาจจะไม่ได้มีความหมายอะไรมากในการชาร์จแบบวันต่อวัน แต่ถ้าคุณเวลาเพียงน้อยนิด ระหว่างรอเพื่อนหรือกำลังจะออกไปข้างนอก ระบบชาร์จ 45W สามารถเปลี่ยนสถานะแบตเตอรี่ของคุณได้ในห้วงไม่กี่นาที (แต่ต้องซื้อแยกนะ ในกล่องแถมแบบ 25W มาให้)

ความแตกต่างที่ชัดเจนอีกอย่างระหว่างทั้ง 2 รุ่น ก็คือ การชาร์จแบบไร้สาย และ Reverse Charging แม้ว่าทั้งสองรุ่นจะมีคุณสมบัตินี้เหมือนกัน แต่ Galaxy Note 10+ เท่านั้นที่สามารถรองรับ Fast Wireless Charging และ Reverse charge ได้เร็วเป็น 2 เท่าของ iPhone 11 Pro Max 

ผู้ชนะ : Galaxy Note 10+

ราคา




Samsung Galaxy Note 10+

- รุ่น​ RAM 12 GB/ROM 256 GB ราคา​ 37,900 บาท

- รุ่น​ RAM 12 GB/ROM 512 GB ราคา​ 40,900 บาท


iPhone 11 Pro Max 

- รุ่น RAM 4 GB/ROM 64 GB ราคา 39,900 บาท

- รุ่น RAM 4 GB/ROM 256 GB ราคา 45,900 บาท

- รุ่น RAM 4GB/ROM 512 GB ราคา 52,900 บาท


สรุปไฮไลค์สำคัญ

Samsung Galaxy Note 10+




1.หน้าจอชนิด​ Dynamic​ Amoled แบบ​ Cinematic​ Infinity O Display ที่มีการออกแบบใหม่​ ด้วยการย้ายรูเจาะกล้องมาอยู่ตรงกลางเพื่อสร้างความสมมาตร​ และลดขนาดของรูให้เหลือขอบดำน้อยที่สุด​ อีกทั้งขอบจอทั้ง​ 4 ด้านก็ปรับลดให้บางมาก​ จนมีอัตราส่วนพื้นที่ใช้งานของหน้าจอสูงถึง​ 90.5% ซึ่งถือว่ามากที่สุดในเวลานี้

2.ระบบการจัดการพลังงานและการชาร์จแบบใหม่ โดยจะมี AI ที่คอยเรียนรู้และจัดการทรัพยากรในระบบให้ประหยัดแบตเตอรี่มากที่สุด พร้อมกับระบบ Super Fast Charge ใหม่ที่ชาร์จได้รวดเร็วกว่าเดิมมาก

3.ปากกา S Pen ใหม่ ที่มีการพัฒนาต่อยอดมาจากของเดิม ด้วย Air Gestures , Remote Photos และ Handwriting to Text ซึ่งจะใช้งานได้ดีกว่าเดิม และยังสามารถ Export ออกไปเป็นไฟล์ Word และ PDF ได้ทันที พ่วงด้วยคุณสมบัติใหม่อย่าง  Motion Gesture Control ที่ใช้ S Pen ควบคุมการทำงานของระบบซูมกล้อง , สลับกล้องหน้า/หลัง , เปลี่ยนเลนส์ หรือ ควบคุมเครื่องเล่นเพลง , สไลด์งาน ด้วยการวาดปากกาในอากาศ (Gesture Control) ได้ง่ายและสะดวกยิ่งกว่าเดิม

4.คุณสมบัติ​ AR Doodle ที่ใช้​ S Pen ในการวาดภาพวัตถุ​ AR ใส่ที่ใบหน้าของคน​หรือ​พื้นที่รอบๆ​ได้​ อีกทั้ง​ภาพที่วาดยังกลายเป็นวัตถุ​ 3 มิติ​ อีกด้วย​ และในกรณีถ่ายใบหน้าคนนั้นตัวระบบจะจดจำใบหน้าไว้​และ​ Tracking​ ตามบุคคลนั้นๆไปตลอด​ 

5.กล้องหลังระดับ Pro - Grade ที่แม้จะใช้ฮาร์ดแวร์ชุดเดียวกันกับ S10+ แต่ว่าซอฟแวร์ภายในมีการปรับใหม่ทั้งหมด ให้ดียิ่งกว่าเดิม เช่นคุณภาพของ Live Focus Video , ระบบกันสั่น Super Steady Cam

6.ระบบบันทึกเสียง พร้อมฟีเจอร์ใหม่ 3 Audio Zoom in Mics ซึ่งจะใช้ Mic 3 ตัว ในการบันทึกเสียงรอบทิศทางแบบ Surround ในการถ่ายวิดีโอ จากนั้นสามารถนำมาเลือกจุดโฟกัสใกล้ไกลของเสียงที่บันทึกมาได้ ว่าต้องการเน้นเสียงบริเวณไหน

7.Samsung DeX ใหม่​ ที่สามารถสร้างการเชื่อมต่อและแสดงผลแบบ​ Desktop Mode ใน​ Notebook หรือ​ PC ที่ใช้ระบบปฎิบัติการ​ Microsoft​ Windows​ และ​ Mac ได้ผ่านการเชื่อมต่อด้วยสาย​ USB Type - C เพียงเส้นเดียว​ อีกทั้งยังสามารถ​ Drag &​ Drop ไฟล์ส่งข้ามไปมาได้อย่างง่ายดาย

8.Link to PCs คือความสามารถเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนเข้ากับพีซีที่ใช้งานระบบปฏิบัติการ Windows โดยไม่ต้องต่อสายใดๆ และทำให้เชื่อมต่อข้อมูลและความเคลื่อนไหวในสมาร์ทโฟนเข้าไปยัง PC ได้ ทั้งรูปภาพ(25 ภาพถ่ายล่าสุดด้วยกล้อง) , ข้อความ และการแจ้งเตือน


ไฮไลค์สำคัญ

iPhone 11 Pro Max




1.มาพร้อมหน้าจอ OLED ขนาด 6.5 นิ้ว , ความละเอียด 2688 × 1242 พิกเซล , ความหนาแน่น 458 ppi , รองรับ HDR , Haptic Touch , Wide Color Gamut 

2.การออกแบบ ใช้เทคนิคที่เรียกว่า New Texture Matte Finishes ซึ่งมีผิววัสดุกึ่งด้าน หลอมกระจกนูนตามรอยโมดูลกล้องแบบไร้รอยต่อ

3.ระบบกล้อง

กล้องหลังของ iPhone 11 Pro Max มีทั้งหมด 3 ตัว (Triple Camera) ความละเอียด 12 + 12 + 12 ล้านพิกเซล แบ่งออกเป็น เลนส์ Wide Camera , f/1.8 , เลนส์ Ultra Wide Camera 120 องศา , f/2.4 และเลนส์ Telephoto 2 เท่า , f/2.0 , รองรับระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบ OIS , Night Mode สำหรับถ่ายภาพเวลากลางคืน , โหมด Portrait พร้อม Portait Lighting แบบใหม่, โหมดถ่ายภาพในมุมกว้าง 

4.เทคโนโลยีใหม่ Deep Fusion เป็นการใช้เทคโนโลยี Machine Learning เข้ามาช่วยในการถ่ายภาพทั้งหมด 9 ภาพ และเมื่อกดชัตเตอร์ จะเก็บภาพ Long Exposure เพิ่มเติม โดยจะช่วยให้ภาพมีความสว่างมากขึ้น โดยที่รายละเอียดต่างๆ ยังคมชัด พร้อมอัตราการเกิด Noise น้อยลง

5.กล้องวิดีโอขั้นโปร ที่รองรับการถ่ายวิดิโอแบบแยกเลนส์ในช๊อตเดียวกันได้

6.แบตเตอรี่เพิ่มอายุการใช้งานมากขึ้นจากรุ่นก่อน

7.รองรับ Water Resistant


iPhone 11 Pro Max กับ Galaxy Note 10+ : บทสรุป




ทั้งสองรุ่นคือสมาร์ทโฟนที่ดีที่สุดจากแต่ละแพลตฟอร์มที่มีให้ แต่หากมองความยืดหยุ่นและประโยชน์ในการใช้งานที่หลากหลายกว่า จะเป็นการยากที่จะปฎิเสธว่า Samsung Galaxy Note 10+ นั้นครอบคลุมทุกการใช้งานกว่าจริงๆครับ

Article By : โลกไอทีวันนี้

Comments