#เทียบสเปคต่อสเปค Samsung Galaxy Note 10+ vs Apple iPhone 11 Pro Max สองราชาแห่งวงการสมาร์ทโฟนปี 2019 !!!
โพสนี้เป็นการนำข้อมูลของสองสมาร์ทโฟนเรือธงแห่งปี 2019 ที่ต่างก็เป็นตัวท๊อปของค่ายอย่าง Samsung Galaxy Note 10+ และ Apple iPhone 11 Pro Max มาเปรียบเทียบให้ดูกันในแต่ละแง่มุมว่าเป็นเช่นไร ใครมีจุดไหนที่โดดเด่นกว่ากันครับ
ในภาพรวมเมื่อแรกเห็น
iPhone 11 Pro ของ Apple ไม่ได้เป็นการอัพเกรดที่น่าทึ่งไปกว่าของเดิมอย่าง iPhone XS และ Max แต่มีการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆ ให้เพียงพอและการปรับปรุงรายละเอียดบางประการให้เทียบเท่ากับสมาร์ทโฟนในท้องตลาดปัจจุบัน
ในขณะที่ Samsung Galaxy Note 10+ นั้นเรียกได้ว่าเป็นการปฎิวัติอุตสาหกรรมสมาร์ทโฟนครั้งใหญ่ ด้วยฟีเจอร์ปากกา S - Pen ที่เพิ่มนวัตกรรมการใช้งานที่แสนสะดวกให้แก่ผู้ใช้ และการออกแบบใหม่ที่สวยงามกว่าที่เคย
#ข้อมูลจำเพาะและคุณสมบัติ ของ Samsung Galaxy Note 10+ vs. Apple iPhone 11 Pro Max ก่อนการเปรียบเทียบ
Samsung Galaxy Note 10+ (รหัส SM - N975F)
หน้าจอชนิด Dynamic Amoled แบบ Cinematic Infinity O Display ขนาด 6.8 นิ้ว , ความละเอียด Quad HD+ , รองรับ HDR10+ , รองรับ Always On Display , ครอบทับด้วยกระจกกันรอย Gorilla Glass 6
CPU : Samsung Exynos 9825 , 7 นาโนเมตร , Octa Core
GPU : Mali - G76MP12
RAM : 12 GB ชนิด LPDDR4X
ROM : 256 GB/512 GB ชนิด UFS 3.0
รองรับ 2 Sim Cards
รองรับ 4G Cat.20 + Dual VoLTE
รองรับ Micro SD Card สูงสุด 1 TB
กล้องหลัง 3 ตัว(Triple Camera) แบบ Dual Pixel ความละเอียด 12 + 16 + 12 ล้านพิกเซล , f/1.5 - f/2.4 และ f/2.2 + f/2.1 , รองรับ OIS , HDR10+ , Ultra Wide Lens 123 องศา , TelePhoto 2 เท่า และ 3D ToF Camera
กล้องหน้าแบบ Dual Pixel ความละเอียด 10 ล้านพิกเซล , f/2.2 , Auto Focus , HDR10+ และ Display Flash
รองรับระบบสแกนนิ้วมือใต้หน้าจอแบบ Ultra Sonic
รองรับระบบสแกนใบหน้า
รองรับการกันน้ำกันฝุ่นมาตราฐาน IP68
รองรับระบบระบายความร้อนแบบ Vapor Chamber
รองรับปากกา S - Pen , แรงกด 4,096 ระดับ , IP68 , รองรับระบบ Motion Gesture Control
รองรับ Bluetooth 5.0
รองรับ NFC/Samsung PAY
รองรับลำโพงคู่แบบ Stereo (Sound by AKG)
รองรับระบบเสียง Dolby Atmos
รองรับ Mic 3 ตัว + Zoom Audio
*ไม่รองรับช่องหูฟัง 3.5 mm.
พอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type - C
แบตเตอรี่ความจุ : 4300 mAh , รองรับ 45W Fast Charging และ Fast Wireless Charging 2.0
รองรับ Reverse Charging (PowerShare)
ระบบปฎิบัติการ : Android 9.0 Pie + One UI
สี : Aura Glow, Black และ White
-------------------------------------------
สเปค iPhone 11 Pro Max
หน้าจอ OLED ขนาด 6.5 นิ้ว , ความละเอียด 2688 × 1242 พิกเซล , รองรับ HDR , รองรับ Haptic Touch
ชิปเซ็ต Apple A13
RAM : 4 GB
Storage : 128 GB/256 GB/512 GB
กล้องหลังสามตัว (Triple Camera) ความละเอียด 12 + 12 + 12 ล้านพิกเซล , รองรับ Optical Zoom 2 เท่า , รองรับ Ultra Wide Angel 120 องศา , OIS
กล้องหน้าความละเอียด 12 ล้านพิกเซล
รองรับระบบ Face ID
รองรับ WiFi 6
รองรับระบบเสียง Dolby Atmos
รองรับ Water Resistant
แบตเตอรี่ : 3500 mAh + 18W Fast Charging
รองรับ Bilateral Wireless Charging (Reverse Wireless Charging)
#เปรียบเทียบ
#การออกแบบ
มิติตัวเครื่อง Samsung Galaxy Note 10+
162.3 x 77.2 x 7.9 mm
น้ำหนัก : 196 กรัม
มิติตัวเครื่อง Apple iPhone 11 Pro Max
158 x 77.7 x 8.1 mm
น้ำหนัก : 226 กรัม
iPhone 11 Pro Max กับ Galaxy Note 10+ : การออกแบบ
ในภาพรวมเมื่อแรกเห็น
iPhone 11 Pro ของ Apple ไม่ได้เป็นการอัพเกรดที่น่าทึ่งไปกว่าของเดิมอย่าง iPhone XS และ Max แต่มีการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆ ให้เพียงพอและการปรับปรุงรายละเอียดบางประการให้เทียบเท่ากับสมาร์ทโฟนในท้องตลาดปัจจุบัน
ในขณะที่ Samsung Galaxy Note 10+ นั้นเรียกได้ว่าเป็นการปฎิวัติอุตสาหกรรมสมาร์ทโฟนครั้งใหญ่ ด้วยฟีเจอร์ปากกา S - Pen ที่เพิ่มนวัตกรรมการใช้งานที่แสนสะดวกให้แก่ผู้ใช้ และการออกแบบใหม่ที่สวยงามกว่าที่เคย
#ข้อมูลจำเพาะและคุณสมบัติ ของ Samsung Galaxy Note 10+ vs. Apple iPhone 11 Pro Max ก่อนการเปรียบเทียบ
Samsung Galaxy Note 10+ (รหัส SM - N975F)
หน้าจอชนิด Dynamic Amoled แบบ Cinematic Infinity O Display ขนาด 6.8 นิ้ว , ความละเอียด Quad HD+ , รองรับ HDR10+ , รองรับ Always On Display , ครอบทับด้วยกระจกกันรอย Gorilla Glass 6
CPU : Samsung Exynos 9825 , 7 นาโนเมตร , Octa Core
GPU : Mali - G76MP12
RAM : 12 GB ชนิด LPDDR4X
ROM : 256 GB/512 GB ชนิด UFS 3.0
รองรับ 2 Sim Cards
รองรับ 4G Cat.20 + Dual VoLTE
รองรับ Micro SD Card สูงสุด 1 TB
กล้องหลัง 3 ตัว(Triple Camera) แบบ Dual Pixel ความละเอียด 12 + 16 + 12 ล้านพิกเซล , f/1.5 - f/2.4 และ f/2.2 + f/2.1 , รองรับ OIS , HDR10+ , Ultra Wide Lens 123 องศา , TelePhoto 2 เท่า และ 3D ToF Camera
กล้องหน้าแบบ Dual Pixel ความละเอียด 10 ล้านพิกเซล , f/2.2 , Auto Focus , HDR10+ และ Display Flash
รองรับระบบสแกนนิ้วมือใต้หน้าจอแบบ Ultra Sonic
รองรับระบบสแกนใบหน้า
รองรับการกันน้ำกันฝุ่นมาตราฐาน IP68
รองรับระบบระบายความร้อนแบบ Vapor Chamber
รองรับปากกา S - Pen , แรงกด 4,096 ระดับ , IP68 , รองรับระบบ Motion Gesture Control
รองรับ Bluetooth 5.0
รองรับ NFC/Samsung PAY
รองรับลำโพงคู่แบบ Stereo (Sound by AKG)
รองรับระบบเสียง Dolby Atmos
รองรับ Mic 3 ตัว + Zoom Audio
*ไม่รองรับช่องหูฟัง 3.5 mm.
พอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type - C
แบตเตอรี่ความจุ : 4300 mAh , รองรับ 45W Fast Charging และ Fast Wireless Charging 2.0
รองรับ Reverse Charging (PowerShare)
ระบบปฎิบัติการ : Android 9.0 Pie + One UI
สี : Aura Glow, Black และ White
-------------------------------------------
สเปค iPhone 11 Pro Max
หน้าจอ OLED ขนาด 6.5 นิ้ว , ความละเอียด 2688 × 1242 พิกเซล , รองรับ HDR , รองรับ Haptic Touch
ชิปเซ็ต Apple A13
RAM : 4 GB
Storage : 128 GB/256 GB/512 GB
กล้องหลังสามตัว (Triple Camera) ความละเอียด 12 + 12 + 12 ล้านพิกเซล , รองรับ Optical Zoom 2 เท่า , รองรับ Ultra Wide Angel 120 องศา , OIS
กล้องหน้าความละเอียด 12 ล้านพิกเซล
รองรับระบบ Face ID
รองรับ WiFi 6
รองรับระบบเสียง Dolby Atmos
รองรับ Water Resistant
แบตเตอรี่ : 3500 mAh + 18W Fast Charging
รองรับ Bilateral Wireless Charging (Reverse Wireless Charging)
#เปรียบเทียบ
#การออกแบบ
มิติตัวเครื่อง Samsung Galaxy Note 10+
162.3 x 77.2 x 7.9 mm
น้ำหนัก : 196 กรัม
มิติตัวเครื่อง Apple iPhone 11 Pro Max
158 x 77.7 x 8.1 mm
น้ำหนัก : 226 กรัม
iPhone 11 Pro Max กับ Galaxy Note 10+ : การออกแบบ
นับเป็นเวลาสองปีแล้วที่ Apple เปิดตัว iPhone X ที่ละทิ้งปุ่มโฮมและนำการออกแบบใหม่ทั้งหมดสำหรับ iPhone แม้ว่าในปีนี้ iPhone 11 Pro Max จะนำเสนอแนวคิดใหม่ๆ เช่น โมดูลกล้องสี่เหลี่ยมและวัสดุฝาหลังแบบแก้วหลอมขึ้นรูป แต่เมื่อหันมาดูข้างหน้าแล้วกลับไม่พบความแตกต่างใดๆเลยกับ iPhone X และ XS Series
iPhone 11 Pro Max มีหน้าตาด้านหน้าที่เหมือนกับ XS Max ด้วยหน้าจอบากขนาดใหญ่ มีขนาดตัวเครื่องที่สั้นกว่า , หนากว่า และ หนักกว่า Galaxy Note 10+ เล็กน้อย แต่โดยทั่วไปก็คือความกว้างเท่ากัน
ส่วน Samsung ได้ทำสิ่งมหัศจรรย์กับการออกแบบ จนสามารถทำ Galaxy Note 10+ ที่มีหน้าจอ , แบตเตอรี่ใหญ่กว่า iPhone 11 Pro Max แต่มีน้ำหนักเบากว่าถึง 30 กรัม อีกทั้งด้านหลังยังมีการใช้กระจกกันรอย Gorilla Glass 5 ที่มีการไล่เฉดสีแบบใหม่ ที่เรียกว่าสี Aura ซึ่งสะท้อนความโดดเด่นออกมาได้อย่างสวยงาม
หน้าจอแสดงผล
ในขณะที่ Samsung ได้เปิดตัวดีไซน์ใหม่ที่น่าทึ่งด้วย Galaxy Note 10+ ขอบด้านบนและด้านล่างนั้นบางลงอย่างมาก ด้วยหน้าจอจะมีรูเล็กๆที่ด้านบน ซึ่งเรียกว่า Infinity O Display
iPhone 11 Pro Max มีหน้าตาด้านหน้าที่เหมือนกับ XS Max ด้วยหน้าจอบากขนาดใหญ่ มีขนาดตัวเครื่องที่สั้นกว่า , หนากว่า และ หนักกว่า Galaxy Note 10+ เล็กน้อย แต่โดยทั่วไปก็คือความกว้างเท่ากัน
ส่วน Samsung ได้ทำสิ่งมหัศจรรย์กับการออกแบบ จนสามารถทำ Galaxy Note 10+ ที่มีหน้าจอ , แบตเตอรี่ใหญ่กว่า iPhone 11 Pro Max แต่มีน้ำหนักเบากว่าถึง 30 กรัม อีกทั้งด้านหลังยังมีการใช้กระจกกันรอย Gorilla Glass 5 ที่มีการไล่เฉดสีแบบใหม่ ที่เรียกว่าสี Aura ซึ่งสะท้อนความโดดเด่นออกมาได้อย่างสวยงาม
หน้าจอแสดงผล
ในขณะที่ Samsung ได้เปิดตัวดีไซน์ใหม่ที่น่าทึ่งด้วย Galaxy Note 10+ ขอบด้านบนและด้านล่างนั้นบางลงอย่างมาก ด้วยหน้าจอจะมีรูเล็กๆที่ด้านบน ซึ่งเรียกว่า Infinity O Display
อัตราส่วนหน้าจอต่อตัวเครื่อง(Screen To Body Ratio) ที่ไม่มีใครเทียบของ Samsung ดึงดูดสายตามากกว่า ด้วยความแตกต่างของขนาดหน้าจอที่เต็มตาแบบไร้ขอบอย่างชัดเจน ซึ่ง Samsung Galaxy Note 10+ ทำได้ถึง 90.5%
และที่สำคัญคือฝั่ง Samsung นั้นใช้หน้าจอแบบ Dynamic Amoled ซึ่งมีความละเอียดสูงสุดที่ Quad HD+ (1440 x 3040 พิกเซล) ในขณะที่ฝั่ง Apple นั้นมีหน้าจอ OLED เช่นเดียวกัน แต่มีความละเอียดสูงสุดที่ 2688 × 1242 พิกเซล
ทำให้โดยรวม Samsung จะทำงานได้ดีกว่า การใช้พิกเซลมากกว่า Note 10+ ไม่เพียงควบคุมอุณหภูมิสีได้อย่างแม่นยำ แต่ยังสามารถปรับความละเอียดจาก Quad HD+ เป็น Full HD+ ได้อีกด้วย จึงนับเป็นข้อได้เปรียบด้วยขนาดจอที่ใหญ่กว่าและรายละเอียดทางเทคนิคที่มากกว่า ฝั่งของ iPhone 11 Pro Max
ระบบกล้อง
Samsung Galaxy Note 10+
กล้องหลัง 4 ตัว(Triple Camera)
Primary Lens แบบ Dual Pixel ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล , f/1.5 - f/2.4 (27 mm.)
Ultra Wide Angle Lens ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล , มุมกว้าง 123 องศา , f/2.2 (12 mm.)
TelePhoto Lens ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล , รองรับ Optical Zoom 2 เท่า , รองรับ OIS , f/2.1 (52 mm.)
กล้อง 3D Depth Vision ความละเอียด VGA
กล้องหน้าแบบ Dual Pixel ความละเอียด 10 ล้านพิกเซล , f/2.2 , Auto Focus , HDR10+ และ Display Flash
Primary Lens แบบ Dual Pixel ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล , f/1.5 - f/2.4 (27 mm.)
Ultra Wide Angle Lens ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล , มุมกว้าง 123 องศา , f/2.2 (12 mm.)
TelePhoto Lens ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล , รองรับ Optical Zoom 2 เท่า , รองรับ OIS , f/2.1 (52 mm.)
กล้อง 3D Depth Vision ความละเอียด VGA
กล้องหน้าแบบ Dual Pixel ความละเอียด 10 ล้านพิกเซล , f/2.2 , Auto Focus , HDR10+ และ Display Flash
กล้องหลัง 3 ตัว (Triple Camera)
Primary Lens ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล , f/1.8
Ultra Wide Lens ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล , f/2.4 , มุมกว้าง 120 องศา
TelePhoto Lens ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล , f.2.0 , รองรับ OIS
กล้องหน้าความละเอียด 12 ล้านพิกเซล
แม้ว่าฟังดูเหมือนระบบกล้องจะคล้ายกันในทั้งสองรุ่น แต่วิธีการทำงานก็ไม่ได้เหมือนกัน ทาง Apple ให้ความสำคัญกับเลนส์มุมกว้างเป็นพิเศษ และการถ่ายพร้อมกันทั้ง 4 เลนส์ได้ (รวมกล้องหน้า) เพื่อให้คุณสามารถเลือกภาพที่คุณชอบที่สุด นอกจากนี้ยังมีโหมดกลางคืนใหม่เพิ่มเข้ามา
แต่เมื่อเทียบกันแล้ว Samsung จะโดดเด่นกว่าในแง่ของคุณสมบัติแปลกใหม่มากมาย เช่น AR Doodle ที่รองรับการถ่ายภาพนิ่งหรือวิดีโอพร้อมวาดภาพ 3D AR แทรกไปด้วย , Live Focus Video ที่ถ่ายวิดีโอหน้าชัดหลังเบลอ , Super Steady Cam กับระบบป้องกันผ่านสั่นไหวขั้นเทพ , Zoom in Mic กับการซูมเสียงเวลาถ่ายวิดีโอระยะไกลได้ และ Night Mode ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่
ส่วนคุณภาพของรูปถ่ายที่ได้ตรงจุดนี้คงต้องขึ้นกับความชอบของแต่ละบุคคลครับ
iPhone 11 Pro Max เทียบกับ Galaxy Note 10+ : Stylus
เหตุผลของการเป็นสมาร์ทโฟนที่มีชื่อว่า Samsung Galaxy Note 10 นั้นคือ S Pen ในตัว ไม่เพียง แต่ S Pen จะจดบันทึกทุกสิ่งบนหน้าจอคุณ แต่มันยังสามารถใช้เพื่อวาดภาพในอากาศด้วยฟีเจอร์ AR Doodles และใช้เป็นรีโมทสำหรับกล้องถ่ายภาพ , เครื่องเล่นเพลงและแอพอื่นๆ ผ่านการควบคุมแบบ Gesture Control
ในทางกลับกัน iPhone 11 Pro Max จะยังต้องใช้นิ้วมือทำทุกอย่าง
สั้นๆง่ายๆและได้ใจความ ผู้ชนะในโจทย์นี้คือ Samsung Galaxy Note 10+ แบบเหนือๆ
iPhone 11 Pro Max เทียบกับ Galaxy Note 10+ : Biometrics
เช่นเดียวกับ XS ที่มาก่อนหน้านี้ iPhone 11 Pro Max ใช้ Face ID ที่เป็นคุณลักษณะความปลอดภัยทางชีวภาพเท่านั้น แต่ Samsung ติดกับเซ็นเซอร์ลายนิ้วมือแบบใต้หน้าจอ ชนิด UltraSonic ที่ปลอดภัยและรวดเร็วกว่าแบบ Optical และยังมีตัวเลือกเป็นระบบสแกนใบหน้า (แบบ 2 มิติ) มาให้ด้วย ทำให้มีทางเลือกในการใช้งานที่หลากหลายมากกว่า
iPhone 11 Pro Max กับ Galaxy Note 10+: สี
ทั้ง 2 รุ่นมี 4 สีให้เลือก โดย iPhone 11 Pro มี Space Grey, Silver, Gold และสีเขียวเข้มใหม่ที่เรียกว่า Midnight Green
ส่วน Galaxy Note 10+ มี Aura Black, Aura White, Aura Blue และ Aura Glow ใหม่ ที่มีการเปลี่ยนแปลงสีตามลักษณะของแสงที่ส่องตกกระทบเข้ามา เรารู้ว่าคุณน่าจะใส่เคสไว้ไม่ว่าคุณจะซื้อรุ่นใด แต่เรากล้าพูดว่าไม่สามารถละสายตาจาก Galaxy Note 10+ ได้จริงๆ โดยเฉพาะสี Aura Glow
ผู้ชนะ : Galaxy Note 10+
iPhone 11 Pro Max กับ Galaxy Note 10+ : แบตเตอรี่ / การชาร์จ
Samsung Galaxy Note 10+ : แบตเตอรี่ 4300 mAh
iPhone 11 Pro Max : แบตเตอรี่ 3500 mAh
ทั้ง 2 รุ่นมาพร้อมกับระบบ Fast Charge แต่ Galaxy Note 10+ มีไพ่เด็ดที่ iPhone 11 Pro Max (18W Fast Charge) ต้องหลีกทาง นั่นคือการชาร์จเร็วแบบ Super Fast Charging 45W นั่นอาจจะไม่ได้มีความหมายอะไรมากในการชาร์จแบบวันต่อวัน แต่ถ้าคุณเวลาเพียงน้อยนิด ระหว่างรอเพื่อนหรือกำลังจะออกไปข้างนอก ระบบชาร์จ 45W สามารถเปลี่ยนสถานะแบตเตอรี่ของคุณได้ในห้วงไม่กี่นาที (แต่ต้องซื้อแยกนะ ในกล่องแถมแบบ 25W มาให้)
ความแตกต่างที่ชัดเจนอีกอย่างระหว่างทั้ง 2 รุ่น ก็คือ การชาร์จแบบไร้สาย และ Reverse Charging แม้ว่าทั้งสองรุ่นจะมีคุณสมบัตินี้เหมือนกัน แต่ Galaxy Note 10+ เท่านั้นที่สามารถรองรับ Fast Wireless Charging และ Reverse charge ได้เร็วเป็น 2 เท่าของ iPhone 11 Pro Max
ผู้ชนะ : Galaxy Note 10+
ราคา
Samsung Galaxy Note 10+
- รุ่น RAM 12 GB/ROM 256 GB ราคา 37,900 บาท
- รุ่น RAM 12 GB/ROM 512 GB ราคา 40,900 บาท
iPhone 11 Pro Max
- รุ่น RAM 4 GB/ROM 64 GB ราคา 39,900 บาท
- รุ่น RAM 4 GB/ROM 256 GB ราคา 45,900 บาท
- รุ่น RAM 4GB/ROM 512 GB ราคา 52,900 บาท
สรุปไฮไลค์สำคัญ
Samsung Galaxy Note 10+
1.หน้าจอชนิด Dynamic Amoled แบบ Cinematic Infinity O Display ที่มีการออกแบบใหม่ ด้วยการย้ายรูเจาะกล้องมาอยู่ตรงกลางเพื่อสร้างความสมมาตร และลดขนาดของรูให้เหลือขอบดำน้อยที่สุด อีกทั้งขอบจอทั้ง 4 ด้านก็ปรับลดให้บางมาก จนมีอัตราส่วนพื้นที่ใช้งานของหน้าจอสูงถึง 90.5% ซึ่งถือว่ามากที่สุดในเวลานี้
2.ระบบการจัดการพลังงานและการชาร์จแบบใหม่ โดยจะมี AI ที่คอยเรียนรู้และจัดการทรัพยากรในระบบให้ประหยัดแบตเตอรี่มากที่สุด พร้อมกับระบบ Super Fast Charge ใหม่ที่ชาร์จได้รวดเร็วกว่าเดิมมาก
3.ปากกา S Pen ใหม่ ที่มีการพัฒนาต่อยอดมาจากของเดิม ด้วย Air Gestures , Remote Photos และ Handwriting to Text ซึ่งจะใช้งานได้ดีกว่าเดิม และยังสามารถ Export ออกไปเป็นไฟล์ Word และ PDF ได้ทันที พ่วงด้วยคุณสมบัติใหม่อย่าง Motion Gesture Control ที่ใช้ S Pen ควบคุมการทำงานของระบบซูมกล้อง , สลับกล้องหน้า/หลัง , เปลี่ยนเลนส์ หรือ ควบคุมเครื่องเล่นเพลง , สไลด์งาน ด้วยการวาดปากกาในอากาศ (Gesture Control) ได้ง่ายและสะดวกยิ่งกว่าเดิม
4.คุณสมบัติ AR Doodle ที่ใช้ S Pen ในการวาดภาพวัตถุ AR ใส่ที่ใบหน้าของคนหรือพื้นที่รอบๆได้ อีกทั้งภาพที่วาดยังกลายเป็นวัตถุ 3 มิติ อีกด้วย และในกรณีถ่ายใบหน้าคนนั้นตัวระบบจะจดจำใบหน้าไว้และ Tracking ตามบุคคลนั้นๆไปตลอด
5.กล้องหลังระดับ Pro - Grade ที่แม้จะใช้ฮาร์ดแวร์ชุดเดียวกันกับ S10+ แต่ว่าซอฟแวร์ภายในมีการปรับใหม่ทั้งหมด ให้ดียิ่งกว่าเดิม เช่นคุณภาพของ Live Focus Video , ระบบกันสั่น Super Steady Cam
6.ระบบบันทึกเสียง พร้อมฟีเจอร์ใหม่ 3 Audio Zoom in Mics ซึ่งจะใช้ Mic 3 ตัว ในการบันทึกเสียงรอบทิศทางแบบ Surround ในการถ่ายวิดีโอ จากนั้นสามารถนำมาเลือกจุดโฟกัสใกล้ไกลของเสียงที่บันทึกมาได้ ว่าต้องการเน้นเสียงบริเวณไหน
7.Samsung DeX ใหม่ ที่สามารถสร้างการเชื่อมต่อและแสดงผลแบบ Desktop Mode ใน Notebook หรือ PC ที่ใช้ระบบปฎิบัติการ Microsoft Windows และ Mac ได้ผ่านการเชื่อมต่อด้วยสาย USB Type - C เพียงเส้นเดียว อีกทั้งยังสามารถ Drag & Drop ไฟล์ส่งข้ามไปมาได้อย่างง่ายดาย
8.Link to PCs คือความสามารถเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนเข้ากับพีซีที่ใช้งานระบบปฏิบัติการ Windows โดยไม่ต้องต่อสายใดๆ และทำให้เชื่อมต่อข้อมูลและความเคลื่อนไหวในสมาร์ทโฟนเข้าไปยัง PC ได้ ทั้งรูปภาพ(25 ภาพถ่ายล่าสุดด้วยกล้อง) , ข้อความ และการแจ้งเตือน
ไฮไลค์สำคัญ
iPhone 11 Pro Max
1.มาพร้อมหน้าจอ OLED ขนาด 6.5 นิ้ว , ความละเอียด 2688 × 1242 พิกเซล , ความหนาแน่น 458 ppi , รองรับ HDR , Haptic Touch , Wide Color Gamut
2.การออกแบบ ใช้เทคนิคที่เรียกว่า New Texture Matte Finishes ซึ่งมีผิววัสดุกึ่งด้าน หลอมกระจกนูนตามรอยโมดูลกล้องแบบไร้รอยต่อ
3.ระบบกล้อง
กล้องหลังของ iPhone 11 Pro Max มีทั้งหมด 3 ตัว (Triple Camera) ความละเอียด 12 + 12 + 12 ล้านพิกเซล แบ่งออกเป็น เลนส์ Wide Camera , f/1.8 , เลนส์ Ultra Wide Camera 120 องศา , f/2.4 และเลนส์ Telephoto 2 เท่า , f/2.0 , รองรับระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบ OIS , Night Mode สำหรับถ่ายภาพเวลากลางคืน , โหมด Portrait พร้อม Portait Lighting แบบใหม่, โหมดถ่ายภาพในมุมกว้าง
4.เทคโนโลยีใหม่ Deep Fusion เป็นการใช้เทคโนโลยี Machine Learning เข้ามาช่วยในการถ่ายภาพทั้งหมด 9 ภาพ และเมื่อกดชัตเตอร์ จะเก็บภาพ Long Exposure เพิ่มเติม โดยจะช่วยให้ภาพมีความสว่างมากขึ้น โดยที่รายละเอียดต่างๆ ยังคมชัด พร้อมอัตราการเกิด Noise น้อยลง
5.กล้องวิดีโอขั้นโปร ที่รองรับการถ่ายวิดิโอแบบแยกเลนส์ในช๊อตเดียวกันได้
6.แบตเตอรี่เพิ่มอายุการใช้งานมากขึ้นจากรุ่นก่อน
7.รองรับ Water Resistant
iPhone 11 Pro Max กับ Galaxy Note 10+ : บทสรุป
ทั้งสองรุ่นคือสมาร์ทโฟนที่ดีที่สุดจากแต่ละแพลตฟอร์มที่มีให้ แต่หากมองความยืดหยุ่นและประโยชน์ในการใช้งานที่หลากหลายกว่า จะเป็นการยากที่จะปฎิเสธว่า Samsung Galaxy Note 10+ นั้นครอบคลุมทุกการใช้งานกว่าจริงๆครับ
ผู้ชนะ : Galaxy Note 10+
iPhone 11 Pro Max กับ Galaxy Note 10+ : แบตเตอรี่ / การชาร์จ
Samsung Galaxy Note 10+ : แบตเตอรี่ 4300 mAh
iPhone 11 Pro Max : แบตเตอรี่ 3500 mAh
ทั้ง 2 รุ่นมาพร้อมกับระบบ Fast Charge แต่ Galaxy Note 10+ มีไพ่เด็ดที่ iPhone 11 Pro Max (18W Fast Charge) ต้องหลีกทาง นั่นคือการชาร์จเร็วแบบ Super Fast Charging 45W นั่นอาจจะไม่ได้มีความหมายอะไรมากในการชาร์จแบบวันต่อวัน แต่ถ้าคุณเวลาเพียงน้อยนิด ระหว่างรอเพื่อนหรือกำลังจะออกไปข้างนอก ระบบชาร์จ 45W สามารถเปลี่ยนสถานะแบตเตอรี่ของคุณได้ในห้วงไม่กี่นาที (แต่ต้องซื้อแยกนะ ในกล่องแถมแบบ 25W มาให้)
ความแตกต่างที่ชัดเจนอีกอย่างระหว่างทั้ง 2 รุ่น ก็คือ การชาร์จแบบไร้สาย และ Reverse Charging แม้ว่าทั้งสองรุ่นจะมีคุณสมบัตินี้เหมือนกัน แต่ Galaxy Note 10+ เท่านั้นที่สามารถรองรับ Fast Wireless Charging และ Reverse charge ได้เร็วเป็น 2 เท่าของ iPhone 11 Pro Max
ผู้ชนะ : Galaxy Note 10+
ราคา
Samsung Galaxy Note 10+
- รุ่น RAM 12 GB/ROM 256 GB ราคา 37,900 บาท
- รุ่น RAM 12 GB/ROM 512 GB ราคา 40,900 บาท
iPhone 11 Pro Max
- รุ่น RAM 4 GB/ROM 64 GB ราคา 39,900 บาท
- รุ่น RAM 4 GB/ROM 256 GB ราคา 45,900 บาท
- รุ่น RAM 4GB/ROM 512 GB ราคา 52,900 บาท
สรุปไฮไลค์สำคัญ
Samsung Galaxy Note 10+
1.หน้าจอชนิด Dynamic Amoled แบบ Cinematic Infinity O Display ที่มีการออกแบบใหม่ ด้วยการย้ายรูเจาะกล้องมาอยู่ตรงกลางเพื่อสร้างความสมมาตร และลดขนาดของรูให้เหลือขอบดำน้อยที่สุด อีกทั้งขอบจอทั้ง 4 ด้านก็ปรับลดให้บางมาก จนมีอัตราส่วนพื้นที่ใช้งานของหน้าจอสูงถึง 90.5% ซึ่งถือว่ามากที่สุดในเวลานี้
2.ระบบการจัดการพลังงานและการชาร์จแบบใหม่ โดยจะมี AI ที่คอยเรียนรู้และจัดการทรัพยากรในระบบให้ประหยัดแบตเตอรี่มากที่สุด พร้อมกับระบบ Super Fast Charge ใหม่ที่ชาร์จได้รวดเร็วกว่าเดิมมาก
3.ปากกา S Pen ใหม่ ที่มีการพัฒนาต่อยอดมาจากของเดิม ด้วย Air Gestures , Remote Photos และ Handwriting to Text ซึ่งจะใช้งานได้ดีกว่าเดิม และยังสามารถ Export ออกไปเป็นไฟล์ Word และ PDF ได้ทันที พ่วงด้วยคุณสมบัติใหม่อย่าง Motion Gesture Control ที่ใช้ S Pen ควบคุมการทำงานของระบบซูมกล้อง , สลับกล้องหน้า/หลัง , เปลี่ยนเลนส์ หรือ ควบคุมเครื่องเล่นเพลง , สไลด์งาน ด้วยการวาดปากกาในอากาศ (Gesture Control) ได้ง่ายและสะดวกยิ่งกว่าเดิม
4.คุณสมบัติ AR Doodle ที่ใช้ S Pen ในการวาดภาพวัตถุ AR ใส่ที่ใบหน้าของคนหรือพื้นที่รอบๆได้ อีกทั้งภาพที่วาดยังกลายเป็นวัตถุ 3 มิติ อีกด้วย และในกรณีถ่ายใบหน้าคนนั้นตัวระบบจะจดจำใบหน้าไว้และ Tracking ตามบุคคลนั้นๆไปตลอด
5.กล้องหลังระดับ Pro - Grade ที่แม้จะใช้ฮาร์ดแวร์ชุดเดียวกันกับ S10+ แต่ว่าซอฟแวร์ภายในมีการปรับใหม่ทั้งหมด ให้ดียิ่งกว่าเดิม เช่นคุณภาพของ Live Focus Video , ระบบกันสั่น Super Steady Cam
6.ระบบบันทึกเสียง พร้อมฟีเจอร์ใหม่ 3 Audio Zoom in Mics ซึ่งจะใช้ Mic 3 ตัว ในการบันทึกเสียงรอบทิศทางแบบ Surround ในการถ่ายวิดีโอ จากนั้นสามารถนำมาเลือกจุดโฟกัสใกล้ไกลของเสียงที่บันทึกมาได้ ว่าต้องการเน้นเสียงบริเวณไหน
7.Samsung DeX ใหม่ ที่สามารถสร้างการเชื่อมต่อและแสดงผลแบบ Desktop Mode ใน Notebook หรือ PC ที่ใช้ระบบปฎิบัติการ Microsoft Windows และ Mac ได้ผ่านการเชื่อมต่อด้วยสาย USB Type - C เพียงเส้นเดียว อีกทั้งยังสามารถ Drag & Drop ไฟล์ส่งข้ามไปมาได้อย่างง่ายดาย
8.Link to PCs คือความสามารถเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนเข้ากับพีซีที่ใช้งานระบบปฏิบัติการ Windows โดยไม่ต้องต่อสายใดๆ และทำให้เชื่อมต่อข้อมูลและความเคลื่อนไหวในสมาร์ทโฟนเข้าไปยัง PC ได้ ทั้งรูปภาพ(25 ภาพถ่ายล่าสุดด้วยกล้อง) , ข้อความ และการแจ้งเตือน
ไฮไลค์สำคัญ
iPhone 11 Pro Max
1.มาพร้อมหน้าจอ OLED ขนาด 6.5 นิ้ว , ความละเอียด 2688 × 1242 พิกเซล , ความหนาแน่น 458 ppi , รองรับ HDR , Haptic Touch , Wide Color Gamut
2.การออกแบบ ใช้เทคนิคที่เรียกว่า New Texture Matte Finishes ซึ่งมีผิววัสดุกึ่งด้าน หลอมกระจกนูนตามรอยโมดูลกล้องแบบไร้รอยต่อ
3.ระบบกล้อง
กล้องหลังของ iPhone 11 Pro Max มีทั้งหมด 3 ตัว (Triple Camera) ความละเอียด 12 + 12 + 12 ล้านพิกเซล แบ่งออกเป็น เลนส์ Wide Camera , f/1.8 , เลนส์ Ultra Wide Camera 120 องศา , f/2.4 และเลนส์ Telephoto 2 เท่า , f/2.0 , รองรับระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบ OIS , Night Mode สำหรับถ่ายภาพเวลากลางคืน , โหมด Portrait พร้อม Portait Lighting แบบใหม่, โหมดถ่ายภาพในมุมกว้าง
4.เทคโนโลยีใหม่ Deep Fusion เป็นการใช้เทคโนโลยี Machine Learning เข้ามาช่วยในการถ่ายภาพทั้งหมด 9 ภาพ และเมื่อกดชัตเตอร์ จะเก็บภาพ Long Exposure เพิ่มเติม โดยจะช่วยให้ภาพมีความสว่างมากขึ้น โดยที่รายละเอียดต่างๆ ยังคมชัด พร้อมอัตราการเกิด Noise น้อยลง
5.กล้องวิดีโอขั้นโปร ที่รองรับการถ่ายวิดิโอแบบแยกเลนส์ในช๊อตเดียวกันได้
6.แบตเตอรี่เพิ่มอายุการใช้งานมากขึ้นจากรุ่นก่อน
7.รองรับ Water Resistant
iPhone 11 Pro Max กับ Galaxy Note 10+ : บทสรุป
ทั้งสองรุ่นคือสมาร์ทโฟนที่ดีที่สุดจากแต่ละแพลตฟอร์มที่มีให้ แต่หากมองความยืดหยุ่นและประโยชน์ในการใช้งานที่หลากหลายกว่า จะเป็นการยากที่จะปฎิเสธว่า Samsung Galaxy Note 10+ นั้นครอบคลุมทุกการใช้งานกว่าจริงๆครับ
Article By : โลกไอทีวันนี้
Comments
Post a Comment