#FullReview : Huawei Freebuds 3 ชุดหูฟังไร้สาย OPEN-FIT รุ่นแรกของโลก ที่มีระบบตัดเสียงรบกวน หรือ ACTIVE NOISE CANCELLATION (ANC), ขับเคลื่อนโดยชิปเซ็ต AI อย่าง KIRIN A1​ เพื่อคุณภาพเสียงชั้นเลิศ​ พร้อมฟีเจอร์อีกเพียบ​ ​!!! ในราคา​ 4,990​ บาท​ !!!!!


Huawei ได้เปิดตัว​ FreeBuds 3 หูฟััง​ Truely Wireless สุดอัจฉริยะรุ่นใหม่​ ไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา​ โดยรองรับ BT/BLE Dual-mode 5.1 SoC และยังมาพร้อม HUAWEI Isochronous Dual Channel เทคโนโลยีการส่งสัญญาณและหน่วยประมวลผลเสียงชั้นนำ 356 MHz ที่ให้การเชื่อมต่อบลูทูธที่เสถียรและรวดเร็ว อีกทั้งยังซิงโครไนซ์เสียงและวิดีโอที่แม่นยำ​ และรองรับระบบตัดเสียงรบกวน ทำให้เล่นเกมสนุกขึ้นและการรับชมวิดีโอมีความสมจริงยิ่งขึ้น

ซึ่งฟังถึงตรงนี้ก็พอจะทราบได้ว่าคุณสมบัตินั้นเทียบเคียงกับชุดหูฟังไร้สายของค่ายผลไม้เลย​ แต่มาในราคาที่ถูกกว่าครึ่งหนึ่ง​ เพียง​ 4,990​ บาท​ แต่การใช้งานจริง​ จะเป็นเช่นไร​ เราลองไปดูกันครับ

Unboxing ภายในกล่องประกอบด้วย



- ชุดหูฟัง​ Huawei Freebuds​ 3
- สายชาร์จแบบ​ USB Type - C
- คู่มือ



ซึ่งบรรจุภัณฑ์ก็ยังคงสไตล์สวย​หรูเรียบ​ ในแบบของ​  Huawei ครับ

Design



Huawei FreeBuds 3 มีการออกแบบด้วย Dolphin Bionic ที่สวมใส่สบาย​ มีไดร์เวอร์แบบไดนามิกความไวสูง 14 มม. พร้อมการออกแบบเฉพาะที่ให้ความคมชัดและลดเสียงรบกวนจากภายนอกได้ดีเยี่ยม



มาพร้อมกับกล่องชาร์จทรงกลม​ ออกแบบสมมาตร​ ใช้วัสดุโพลีคาร์บอเนต​ เคลือบผิวมัน พร้อมพอร์ตชาร์จแบบ USB Type - C สำหรับการชาร์จเร็ว​ นอกจากนี้ยังรองรับการชาร์จแบบไร้สาย Qi และสามารถใช้การชาร์จไร้สายแบบย้อนกลับ (Reverse Charging) บนสมาร์ทโฟนได้ด้วย



ซึ่งว่าในเรื่องการออกแบบตัวตลับชาร์จถือว่าแปลกตา​ มาในโทนเเฟชั่นจ๋า​ เหมือนตลับเครื่องสำอางของผู้หญิง​แต่ผู้ชายก็สามารถถือได้แบบไม่เคอะเขิน



ด้านหน้ามีเเผ่นโลหะ​สลักโลโก้​ Huawei​, ด้านข้างซ้ายมีปุ่ม​สำหรับกดเพื่อเริ่มการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนที่ค่อนข้างกลืนไปกับผิวของตลับมากๆ​ ด้านขวาปล่อยโล่งๆไว้​ ส่วนด้านล่างจะเป็นที่อยู่ของพอร์ต​ USB Type -​ C



ตัวก้านหูฟังนั้นถูกออกแบบสรีระศาสตร์ด้วย​ Dolphin Bionic ที่กระชับและใส่สบายกว่าหูฟังทั่วไป​ ส่วนชุดไดรเวอร์เป็นทรง​ Open Fit​ หรือ​ Earbuds ซึ่งจุดนี้ผมชอบมากกว่า​ In Ears เพราะเมื่อใส่นานๆจะไม่ปวดหู​ แถมเจ้านี่ยังเป็น​ In Ears Type รุ่นแรกของโลก​ ที่รองรับ​ Active Noise Canceling ด้วย​ (เปิดตัวในจีนก่อน​ AirPod Pro)



แต่กระนั้นข้อติในด้านการออกแบบคือ​ ผมไม่ค่อยชอบวัสดุเคลือบผิวมัน​ เพราะมันเลอะเเละเป็นรอยนิ้วมือง่ายมาก​ และดูแลรักษาลำบาก​ เป็นรอยง่าย​ ถ้าใช้ก็ต้องหมั่นทำความสะอาดและซื้อเคสกันกระแทกมาใส่ครับ



เมื่อเปิดฝาออกมา​ จะพบตัวก้านหูฟังถูกจัดเก็บไว้ในแนวตั้ง​ โดยตรงกลางจะมีไฟ LED บอกสถานะของแบตเตอรี่อยู่

การใช้งาน



เบื้องต้นเราต้องติดตั้งแอพพลิเคชั่น​ Huawei AI Life ซึ่งสามารถหาดาวน์โหลดได้จาก​ Google​ Play​ Store​ หรือ​ Huawei App Gallery เพื่อทำการเชื่อมต่อและปรับตั้งค่าหูฟัง​ แต่ในเวลานี้จะรองรับแต่ระบบปฎิบัติการ​ Android​ เท่านั้น​ ส่วน​ฝั่ง​ iPhone​ นั้นสามารถใช้หูฟังผ่านการจับคู่อุปกรณ์​ Bluetooth ตามปกติได้​ แต่จะไม่สามารถใช้งานฟังก์ชั่นพิเศษ​ เช่น​ ระบบตัดเสียงรบกวนได้



พอติดตั้งเสร็จ​ เปิดแอพขี้นมา​ ให้ดูที่มุมขวาบน​ แล้วกดเครื่องหมาย​ + และกด​ Add Device จากนั้นก็ทำตามขั้นตอนไม่นานก็เป็นอันเสร็จสิ้น



หน้าแรกที่เข้ามาจะพบกับ สถานะการเชื่อมต่อ​, ระดับแบตเตอรี่ในหูฟังทั้ง​ 2 ข้างและตัวตลับชาร์จ

ด้วยการชาร์จหูฟังเต็มหนึ่งครั้ง​ สามารถใช้ได้นานถึง 4 ชั่วโมง และสามารถขยายได้สูงสุดถึง 20 ชั่วโมง​ ด้วยตลับชาร์จ



ตัวก้านหูฟังรองรับ​ Touch Gesture Control ทั้ง​ 2 ข้าง​ โดยเราสามารถตั้งค่า​ Shortcuts ได้ว่า หากแตะ​สองครั้ง​ (Double Tap) จะให้ทำงานอะไร​ โดยมีตัวเลืิอกได้แก่​ เล่นเพลง, หยุดเพลง, ข้ามเพลง, เรียก​ Voice Assistant, เปิดหรือปิด​ Noise Cacelling และปิดการใช้งาน



ไฮไลค์คือระบบตัดเสียงรบกวน​ หรือ​ Active Noise Cacelling ที่สามารถปรับตั้งค่าได้ในแอพ​ AI​ Life​ โดยในเมนูจะมีคำสั่ง​เปิดหรือปิดการใช้งาน​ และเมื่อเปิดแล้ว​ เรายังสามารถหมุนปรับองศาการทำ​ Noise Cacelling ด้วยตัวเองได้​ โดย​ Huawei ให้เหตุผลว่ารูปกระดูกหูและองศาในการได้ยินของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน​ วิธีใช้เราก็แค่หมุนหาองศาไปเรื่อยๆจนกว่าจะไม่ได้ยินเสียงภายนอกเท่านั้น



และยังมีฟังก์ชั่น​ Update Software ของตัวหูฟัง​ ที่สามารถกดตรวจสอบได้จากแอพนี้เช่นกัน

คุณภาพเสียง



ชิป Kirin A1 ซึ่งเป็นชิป AI ที่สนับสนุนในการเชื่อมต่อ , การจัดการพลังงาน และที่สำคัญคือ ระบบตัดเสียงรบกวน ที่จะแยกการปิดกั้นเสียงตามความถี่ต่ำ และจะปรับการตัดเสียงให้ลดลงในย่านความถี่สูง เช่น เสียงแตรรถยนต์ เพื่อความปลอดภัยยามสวมใส่บนท้องถนน​ นั้นถือเป็นจุดแข็งของ​ Huawei Freebuds​ 3 เป็นอย่างมาก



เริ่มต้นจากค่า​ Delay ที่ได้นั้นถือว่่ามีดีเลย์น้อยที่สุดในหูฟัง​ Truely Wireless​ ทุกตัวในตลาดตอนนี้ที่ 190 ms. และเมื่อทดลองใช้จริงก็ให้ประสบการณ์ที่น่าประทับใจ​ โดยจับการดีเลย์แทบไม่ได้เลยในการเล่นเกมจริงๆ

ส่วนคุณภาพเสียงนั้นถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ยอดเยี่ย​ม​ ให้เสียงไปในโทนเบสหนักๆ​พอสมควร​ โดยที่ไม่ได้กลบเสียงโทนกลางไป



ระบบตัดเสียงรบกวนนั้น​ ก็ทำงานได้อย่างดีเยี่ยม​ ซึ่งแม้จะไม่ใช่หูฟังประเภท​ IN​ Ear แต่ก็สามารถตัดเสียงรบกวนจากสภาพแวดล้อมรอบข้างได้เป็นอย่างดี



นอกจากนี้​ Wind Shild หรือการป้องกันลมก็ทำออกมาได้​ดี และเสียงสนทนาจากปลายสายก็สามารถฟังเรารู้เรื่อง​ แม้อยู่ในที่ๆมีลมแรงๆ

คุณภาพการเชื่อมต่อ



ถือว่าทำออกมาได้เเข็งเเรงดีมาก​ เมื่อเดินทางนำไปทดสอบทั้งที่ห้างสรรพสินค้า, รถไฟฟ้า​ หรือรถบัส​ ก็พบว่าตัวหูฟังแทบไม่ถูกรบกวนและไม่หลุดการเชื่อมต่อ​เหมือนแบบหูฟังแบรนด์อื่นๆด้วย

การจำหน่าย



Huawei FreeBuds 3 มีสองสีให้เลือก ได้แก่ สีดำคาร์บอนแบล็ค และ สีขาวเซรามิก ในราคา​ 4,990​ บาท

ณ Huawei Brand Shop และ ร้านค้าตัวแทนจำหน่ายทุกสาขาทั่วประเทศ

และเริ่มจะเริ่มวางจำหน่ายหน้าร้าน​ วันที่​ 5 ธันวาคม​ นี้​ ณ Huawei Brand Shop และ ร้านค้าตัวแทนจำหน่ายทุกสาขาทั่วประเทศ

สรุป



Huawei Freebuds​ 3 เป็นชุดหูฟังไร้สายที่มีคุณสมบัติคุ้มค่าเกินราคาไปไกลมากครับ​ จัดเป็นตัวเลือกที่ดีอันดับต้นๆในตลาดหูฟังไร้สายแบบ​ Truely Wireless​ในตอนนี้แบบไม่ต้องคิดมากเลยครับ​ ด้วยดีไซน์ที่สวยหรู​ และฟังก์ชั่นตัดเสียงรบกวนในราคา​ 4,990​ ​บาท​ ก็ถือว่าครบตอบโจทย์แล้วครับ

Article By : โลกไอทีวันนี้

Comments